[สงขลามีเดีย]

โดย ไทยพีบีเอส http://news.thaipbs.or.th


แนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติในปีหน้ามีแนวโน้มต้องปรับขึ้น เพราะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยค่าไฟฟ้ารอบใหม่ในงวดแรกของปี อาจปรับขึ้นอีก 10 สตางค์ต่อหน่วย

มีรายงานจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ ค่าเอฟที ที่เรียกเก็บบิลค่าไฟประชาชนรอบใหม่ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน 2557 มีทิศทางปรับขึ้นประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติ ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเล็กน้อย รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

โดยค่าเอฟทีรอบใหม่นี้มาจากการคำนวณค่าเอฟทีงวดที่แล้ว ที่ใช้ฐานการคำนวณ 31.24 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ล่าสุดค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 32 บาทกว่าต่อดอลลาร์ รวมทั้งค่าเอฟที งวดที่ผ่านมา ระหว่างเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2556 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ เรกูเลเตอร์ ให้ กฟผ. แบกรับภาระต้นทุนไว้ 2.91 สตางค์ต่อหน่วย

สำหรับแนวโน้มทิศทางค่าไฟฟ้าในปี 2557 มีข้อมูลจาก กฟผ.ว่า หากพิจารณาจากปัจจัยเชื้อเพลิง ต้องยอมรับว่า ไทยต้องทยอยใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจี นำเข้ามากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งสัดส่วนที่ต้องใช้มากขึ้น จะมีผลต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้แอลเอ็นจีมีราคาสูงถึง 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ พีดีพี ฉบับใหม่ ที่กำลังปรับปรุง พยายามเปลี่ยนมาใช้ถ่านหินเพื่อกระจายความเสี่ยงเชื้อเพลิง และความมั่นคงมากขึ้น เพื่อรักษาระดับค่าเอฟทีไม่ให้สูงเกินไป

นายดิเรก ลาวัลย์ศิริ ประธานเรกูเล เตอร์ เปิดเผยว่า กลางเดือนธันวาคมนี้ จะมีการพิจารณาต้นทุนการผลิตไฟฟ้า เพื่อสรุปตัวเลขก่อนนำมาคำนวณค่าเอฟที ที่จะเรียกเก็บบิลค่าไฟประชาชนรอบใหม่ โดยเฉพาะ 2 ปัจจัยหลักที่จะมีผลให้ค่าไฟฟ้าเปลี่ยน แปลง คือ ราคาก๊าซธรรมชาติ และค่าเงินบาท ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมีผลกระทบต่อต้นทุนค่าเอฟที สูงถึง 6 สตางค์ต่อหน่วย