Main Menu

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ www.SongkhlaMedia.com เรียนเชิญชาวสงขลาและทุกท่านร่วมขับเคลื่อนเว็บไซต์สาระที่มากกว่าข่าว ร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อสงขลาบ้านเรา

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ฅนสองเล

#46
จำระยะเวลาไม่ได้แล้ว แต่ประมาณเดือนนิดๆมั้งครับ พอดีทำเล่นๆ เลยไม่ได้เก็บข้อมูลจริงจังน่ะครับ
#47
อบจ.สงขลา แถลงข่าวเตรียมจัดการแข่งขันกีฬาซิงกอร่าเกมส์ ภาคใต้ ครั้งที่ 36 ภายใต้คำขวัญ "ท้องถิ่นใต้ ท้องถิ่นไทย รวมใจด้วยกีฬา ภาคใต้ ครั้งที่ 36 ประจำปี 2561

วันนี้ (14 ก.ย. 61) ที่ โรงแรม บี.พี.สมิหลา บีชฯ อำเภอเมืองจังหวัดสงขลา นายสมหมาย ขวัญทองยิ้ม รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวเตรียมจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองของส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย รอบคัดเลือก ภาคใต้ ครั้งที่ 36 ประจำปี 2561 "ซิงกอร่าเกมส์" โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง จาก 14 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก

การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้มีการเตรียมจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ซึ่งการแข่งขันดังกล่าวจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2526 ใช้ชื่อว่า "การแข่งขันกีฬานักเรียนเทศบาลและเมืองพัทยา" จนถึงครั้งที่ 15 ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น ) พระราชทานไฟพระฤกษ์ในการจัดการแข่งขันเป็นครั้งแรก และต่อมาในปี 2552 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็นการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นภูมิภาคจำนวน 5 ภาค และกรุงเทพมหานคร

นายสมหมาย ขวัญทองยิ้ม รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนากีฬาในหลายรูปแบบ ทั้งการจัดการแข่งขันกีฬาในระดับต่าง ๆ การสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่นักเรียนในสังกัด การปรับปรุงสนามกีฬา ลานกีฬา เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปในจังหวัดสงขลาได้เล่นกีฬา และออกกำลังกาย

สำหรับการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย รอบคัดเลือก ระดับภาคใต้ ครั้งที่ 36 ประจำปี 2561 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาในฐานะเจ้าภาพจัดการแข่งขันได้ใช้ชื่อการแข่งขันว่า "ซิงกอร่าเกมส์" โดยใช้มาสคอตรูปแมวและใช้คำขวัญสำหรับการแข่งขันว่า "ท้องถิ่นใต้ ท้องถิ่นไทย รวมใจด้วยกีฬา" กำหนดจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม 2561 แบ่งการแข่งขันเป็น ชนิดกีฬาประกอบด้วย ฟุตบอล , ฟุตซอล , เซปัคตะกร้อ , วอลเลย์บอล , วอลเลย์บอลชายหาด, เทเบิลเทนนิส , เปตอง , แบดมินตัน , หมากฮอสไทย , หมากรุกไทย และ .กรีฑาเป็นต้น
#48
ธนาคารยูโอบี มอบหนังสือนิทานภาพนูนให้เด็กผู้พิการทางสายตา

เพราะเด็กกับนิทานเป็นของคู่กัน การอ่านนิทานได้ความสนุก ข้อคิดและที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมจินตนาการ แต่เด็กๆ ผู้พิการทางสายตากลับขาดโอกาสในการเข้าสู่โลกแห่งการเรียนรู้และจินตนาการเพียงเพราะพวกเขามองไม่เห็น ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โดยโครงการกรุณาสัมผัส หรือ Please Touch จึงได้จัดกิจกรรมการทำหนังสือนิทานภาพนูน ร่วมกับอาสาสมัครยูโอบีประกอบหนังสือนิทานภาพนูน จำนวน 10 เรื่อง โดยเป็นนิทานเด็กเล็ก 6 เรื่องและนิทานเด็กโต 4 เรื่อง เพื่อ ส่งมอบให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอดในพื้นที่ภาคใต้ ณ โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดธรรมสากลหาดใหญ่ สังกัดมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จ.สงขลา และโรงเรียนสอนคนตาบอดสุราษฎร์ธานี และอีก 10 โรงเรียนผู้พิการทางสายตาครอบคลุมทั่วภูมิภาค

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการส่งมอบหนังสือนิทานภาพนูนให้กับน้องๆ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ภายในกิจกรรมยังมีการแบ่งกลุ่มน้องๆ ให้ร่วมกันประดิษฐ์หุ่นมือจากกระดาษเป็นรูปทรงต่างๆ ตามแต่จินตนาการของน้องๆ พร้อมให้ร่วมกันคิดเป็นนิทานและเรื่องเล่าก่อนที่จะออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ กลุ่มอื่นได้ฟังกัน โดยมีพี่ๆ อาสาสมัครยูโอบีเป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มที่ช่วยหยิบจับอุปกรณ์และกระตุ้นจินตนาการของน้องๆ

ณัฐวกันย์ พรั่งโอฬาร อาสาสมัครยูโอบี เล่าว่า "การได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ทำให้เข้าใจความรู้สึกของน้องๆ ที่ไม่มีโอกาสได้มองเห็น ซึ่งสิ่งที่น้องๆ เหล่านี้สัมผัสได้ เกิดจากความนึกคิด และจินตนาการจากอาสาสมัครที่ได้พูดคุย รวมถึงการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่น้องๆ ได้สั่งสมมาในการได้ร่วมทำกิจกรรม ส่วนการส่งมอบหนังสือนิทานภาพนูนนับเป็นการเปิดโลกทัศน์สำหรับตัวเองที่น้องๆ เหล่านี้ สามารถอ่านหนังสือได้อย่างน่ามหัศจรรย์"

สัญชัย อภิศักดิ์ศิริกุล กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินและสนับสนุนธุรกิจ ธนาคารยูโอบี(ไทย) บอกว่า ธนาคารยูโอบีได้มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องของการสนับสนุนโครงการทางด้านศิลปะ การศึกษา และเยาวชน โดยกิจกรรมประกอบหนังสือภาพนูน เป็นหนึ่งในโครงการ Please Touch ที่มุ่งเปิดโลกแห่งการเรียนรู้และจินตนาการของเด็กผู้พิการทางสายตา ซึ่งพนักงานจิตอาสาของธนาคารได้มีส่วนร่วมหลักสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการทำหนังสือนิทานภาพนูน จนถึงการส่งมอบและทำกิจกรรมกับน้องๆ
ดวงใจ ยกย่อง อีกหนึ่งอาสาสมัครยูโอบี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ ที่โรงเรียนสอนคนตาบอด และรู้สึกได้ว่าน้องๆ ตื่นเต้นกับการที่จะได้อ่านหนังสือนิทานภาพนูนที่จะมีส่วนที่สร้างเสริมจินตนาการและทำให้โลกของน้องๆ สดใสไม่มืดมิดเช่นที่เคย

หนังสือนิทานภาพนูน เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการกรุณาสัมผัส หรือ Please Touch ที่ทางธนาคารยูโอบีให้ความสำคัญในการเข้าถึงศิลปะของทุกคนในสังคมอย่างทั่วถึง ด้วยความเชื่อว่า ศิลปะคือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาจิตใจ สังคม ประเทศชาติ ที่อยู่เหนือภาษา วัฒนธรรม กาลเวลา รวมทั้งข้อจำกัดทางด้านร่างกาย โครงการกรุณาสัมผัส เริ่มต้นในปี 2558 และมีการจัดอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปี 2561 นี้ โครงการ Please Touch จะดำเนินกิจกรรมในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยจะมีการจัดการเรียนการสอนวิชาศิลปะให้กับผู้พิการทางสายตาที่มีความสนใจด้านศิลปะอายุระหว่าง 10-60 ปี ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการศิลปะสัมผัสได้ ณ ห้องกระจก (Friends of BACC) ชั้น 6 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

โดยผลงานที่ได้จะถูกนำไปส่งต่อสู่ผู้ต้องการโอกาสอื่นๆในสังคมต่อไป เช่น ผ้าโพกหัวสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะนำไปมอบให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นต้น โดยจะมีอาสาสมัครพนักงานธนาคารยูโอบีที่รับหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับผู้ร่วมกิจกรรมในส่วนของการลงมือสร้างสรรค์งานศิลปะที่สัมผัสได
#49
อุตุฯ เตือนภัยพายุไต้ฝุ่นมังคุด ภาคใต้มีฝนตกหนักคลื่นลมแรง 16-20 ก.ย.

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุ "มังคุด" (MANGKHUT)"  ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 15 กันยายน 2561

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (15 ก.ย. 61) พายุไต้ฝุ่น "มังคุด" (MANGKHUT) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกหรือด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 122.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 204 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

มีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ และจะเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนบน ในวันนี้ (15 กันยายน 2561) หลังจากนั้น ผ่านเกาะไหหลำ ประเทศจีน เข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศจีนตอนใต้ ในช่วงวันที่ 16-18 กันยายน 2561 และอ่อนกำลังลงตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้บริเวณพื้นที่รับลมมรสุมด้านตะวันตกของภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่

สำหรับบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในช่วงวันที่ 17-19 กันยายน 2561 ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงดินโคลนถล่ม

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ในช่วงวันที่ 16-20 กันยายน 2561 จะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงกว่า 4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง และขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งให้ระมัดระวังคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือ สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ประกาศ ณ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 05.00 น.
นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
#50
จันทบุรี – บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "เอามื้อสามัคคี" ที่บ้านสวนอิสรีย์เกษตรอินทรีย์และฟาร์มม้าไทยเมืองจันท์ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดตัวอย่างความสำเร็จ "คนต้นแบบ" สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วประเทศร่วมสานต่อศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น

​"เอามื้อสามัคคี" หรือการลงแขกช่วยเหลือกันพัฒนาพื้นที่ต่างๆ เป็นกิจกรรมในโครงการ "พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน" ปี 6 โดยในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 โครงการฯ ได้ชักชวนให้ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย ร่วมกันขุดหลุมขนมครกเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง และส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคศาสนา และสื่อมวลชน

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานเปิดงานกล่าวว่า "จากการดำเนินงานต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมว่า คนที่นำแนวทางศาสตร์พระราชาไปปฏิบัตินั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง ตามที่พระองค์ท่านทรงเน้นย้ำว่า ความยั่งยืน คือ ความเหมาะสม โดยเริ่มจากการพัฒนาคน นอกจากนี้ กิจกรรมเอามื้อสามัคคียังสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนให้ได้ 5 ล้านไร่ ในปี 2564 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยสนับสนุนเกษตรกรให้พัฒนาตนเอง ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตจากเดิมไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืน เช่น เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบอื่นๆ"

ในปีนี้เป็นปีสุดท้ายของระยะที่ 2 ของแผนหลัก 9 ปีของโครงการฯ ซึ่งจะเน้น "การแตกตัว" หรือการขยายผลในระดับทวีคูณเพื่อสร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือยกระดับศูนย์เรียนรู้สู่การศึกษาตลอดชีวิต โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน

นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด แกนนำภาคเอกชน กล่าวว่า "เราใช้แนวคิด 'แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี' คือการนำสิ่งที่เรียนรู้และความสำเร็จในการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปถ่ายทอดให้แก่ประชาชนใน 4 พื้นที่ 3 ลุ่มน้ำที่มีสภาพภูมิสังคมที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างต้นแบบที่หลากหลาย และส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง โดยจะนำความสำเร็จนี้ไปเผยแพร่เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจสู่ของชุมชนอื่นทั่วประเทศต่อไป ซึ่งความมุ่งหวังของโครงการฯ คือต้องการที่จะทำให้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นหนทางหลักของเกษตรกรไทย"

สำหรับการเลือกพื้นที่เป้าหมายในการจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีครั้งที่ 2 อ.ไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และตัวแทนสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายภาควิชาการกล่าวว่า "โครงการฯ ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงห่วงใยประชาชนในจันทบุรีซึ่งประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ ปัญหาภัยแล้งจึงเป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่ รวมทั้งยังมีการใช้สารเคมีในการเกษตรค่อนข้างมาก กิจกรรมเอามื้อสามัคคีครั้งนี้ จึงเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ปลูกและผู้บริโภค รวมถึงขยายผลโดยใช้ช่องทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรมสร้างหลุมขนมครก และมีผู้สนใจ 500 กว่าคนที่จะมาช่วยกันสร้างหลุมขนมครกเพื่อเก็บกักน้ำในหน้าแล้ง"

นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษา รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานสภาเกษตรกร จ.จันทบุรี ประธานศูนย์กสิกรรมธรรมชาติโป่งแรด จ.จันทบุรี กล่าวเสริมว่า "ตอนที่อาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) เมื่อปี 2544-2545 เริ่มทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ ได้เลือก จ.จันทบุรี เป็นเป้าหมายแรกเพราะเชื่อว่าคนจันท์กล้าคิด กล้าทำ กล้าลงทุน ถ้าที่นี่ทำเกษตรอินทรีย์ได้ คนที่อื่นๆ จะทำตาม และเปลี่ยนได้ทั้งประเทศ อาจารย์ยักษ์และทีมงานจึงลงไปพื้นที่ ทั้งอบรมและลงมือทำต่อเนื่อง จนรัฐบาลในยุคนั้นประกาศให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ"

แต่ในวันนี้เมื่อเกษตรอินทรีย์แตกตัวไปทั่วประเทศ การทำพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในจ.จันทบุรี กลับมีเกษตรกรเพียงประมาณ 30 กว่ารายและมีพื้นที่แค่ 1,300 กว่าไร่เท่านั้น ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน PGS (Participatory Guarantee System) หรือ การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม คือเกษตรกรด้วยกันเองเป็นผู้ร่วมตรวจสอบ และเป็นการรับรองมาตรฐานของไทย โดยอิงระบบการรับรองตามมาตรฐาน IFOAM : International Federation of Organic Agriculture Movements ซึ่งมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

การสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเกษตรกร จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากเกษตรกรส่วนมากถึง 99.99% ยังคงใช้สารเคมีเป็นหลัก ในปีนี้ กลุ่ม PGS จ.จันทบุรี จึงกำหนดยุทธศาสตร์ 'อินทรีย์ผงาด' เฉพาะ จ.จันทบุรี โดยมีเป้าหมายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 10,000 ไร่ในปีแรก และจะเพิ่มเป็น 10 เท่าในปีถัดไปทุกปี โดยมีทีมงานที่บ่มเพาะมาพร้อมทำงาน และสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และอีกหลายสถาบัน มาร่วมขับเคลื่อนงานในส่วนนี้ด้วย

ด้านเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย นางแววศิริ ฤทธิโยธี แห่งบ้านสวนอิสรีย์เกษตรอินทรีย์และฟาร์มม้าไทยเมืองจันท์ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เล่าว่า "บ้านสวนอิสรีย์ฯ มีสวนยางประมาณ 120 ไร่ และสวนผลไม้ 80 ไร่ ปลูกเงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง พริกไทย และอื่นๆ ผสมผสานกัน ที่บ้านเราอยู่กับสวนมาตลอด พ่อสอนไม่ให้เบียดเบียนธรรมชาติ ตอนแรกทำสวนมะละกอซึ่งใช้สารเคมีมาก แต่เราห่วงเรื่องสุขภาพของตัวเองและคนงานจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ ตอนนี้ไม่ใช้เคมีเลยมา 3 ปีกว่าแล้ว เราขุดบ่อ 7 บ่อรวมทั้งบ่อบาดาล ให้มีน้ำใช้ตลอด เมื่อปี 2560 ก็ได้ไปอบรมเรื่องเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติมที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติโป่งแรด จึงหมักปุ๋ยเองจากความรู้ที่ไปอบรมมา และเราเองก็เป็นหนึ่งในเกษตกร 30 กว่ารายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน PGS ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาดูงานสม่ำเสมอ"

โดยหลังจากนี้ โครงการฯ จะเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยส่งเสริมให้ประชาชนลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่เป้าหมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการในพระราชดำริฯ อีก 2 พื้นที่ ได้แก่ ชุมชนกสิกรรมวิถี ณ หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ในพื้นที่ของบอย-พิษณุ นิ่มสกุล ที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี ระหว่างวันที่ 24-26 สิงหาคม 2561 และพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.เวียงสา จ.น่าน ในวันที่ 26-28 ตุลาคม 2561 นำโดยบัณฑิต ฉิมชาติหัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน และสุดาพร พรหมรักษา เจ้าของพื้นที่บ้านน้ำปี้ ต.น้ำมวก อ.เวียงสา จ.น่าน

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking
#51
13 กันยายน 2561 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ จ.สงขลา นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ ชูเมือง รองเลขาธิการ ศอ.บต. นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. นายกิตติ สุระคำแหง รองเลขาธิการ ศอ.บต. และพลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร รองเลขาธิการ ศอ.บต. ร่วมกันแถลงข่าว 10 ดี 10 เด่น เพื่อประชาชน ประจำปี 2561

โดยมีการนำผลการดำเนินงานการแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และนโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รวมถึงคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการทำงานห้วง 10 เดือน ของปีงบประมาณ 2561 มาร่วมแถลงในครั้งนี้ สำหรับการแถลง เลขาธิการ ศอ.บต. เน้นย้ำถึงการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานในพื้นที่ ทำให้แต่ละโครงการประสบผลสำเร็จ

ส่วนรถยนต์โมบายเคลื่อนที่ซึ่ง ศอ.บต. รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า "สิริเวชยาน" ( หมายถึง รถที่ให้บริการทางการแพทย์อันเป็นมงคล ) และพระราชทานพระราชานุยาตให้เชิญอักษรพระนามาภิไธย "ส.ธ." ประดับที่ชื่อพระราชทานด้วย โดยรถยนต์โมบายเคลื่อนที่นั้นเป็นรถยนต์ที่มีการออกแบบพิเศษเพื่อให้คล่องตัวในการเข้าพื้นที่ ทำงานเชิงรุก มีการติดตั้งอุปกรณ์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ห่างใกล้ ปัจจุบันมีการจัดทำรถยนต์โมบายนำร่อง 2 คัน ใช้ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา และโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และโครงการพาคนกลับบ้าน ที่ถือเป็นโครงการที่ขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนทุนการประกอบอาชีพให้กับผู้ร่วมสร้างสันติสุขระดับอำเภอได้มีหลักประกันในการไม่กลับไปสู่วงจรของการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา มีอาชีพและรายได้ที่เหมาะสม ตลอดจนการเดินหน้าโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน รวมถึงการดูแลคนไร้สัญชาติในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินการพิสูจน์สารพันธุกรรม และได้รับบัตรประชาชนไปแล้ว 699 ราย อย่างไรก็ตามในการแถลงข่าว เลขาธิการ ศอ.บต. ได้ย้ำว่าหลังจากนี้ ศอ.บต. ยังคงเน้นการดำเนินงานเพื่อประชาชน โดยยึดหลักการที่ว่า ศอ.บต. จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

โดยโครงกันทั้งหมดเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ให้ประชาชนมีที่พักอาศัยและที่ทำกิน รวมถึงมีการจัดจำหน่ายสินค้าของดีชายแดนใต้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ เข้าร่วมจำหน่ายกว่า 30 บูท และได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก
#52
รองเลขาธิการ ศอ.บต. นำสื่อมวนชนหลายแขนงจาก 3 จชต.(SPMC) ร่วมแสดงความยินดี ฉลอง วันชาติมาเลเซีย ASPIRASI MERDEKA 2018 ที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์ RTM รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย

ยกระดับความสัมพันธ์ระดับประเทศ นำโดย นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมกับสื่อมวลชนจาก ชมรมสื่อมวลชนเพื่อสันติชายแดนใต้ (SPMC) หลายแขนง เดินทางไปร่วมแสดงความยินดี ฉลองวันชาติมาเลเซีย ที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 8 – 9 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งทาง Ms.NURIANI MOHAMAD IDRIS ผู้อำนวยการการสือสารประจำรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เป็นเจ้าภาพในการต้อนรับคณะไทยในครั้งนี้

นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า" วันนี้ในฐานะชาวไทย มาร่วมฉลองแสดงความยินดีวันเอกราชของประเทศมาเลเซีย เป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน รวมถึงจะต่อสู้ต่อวิกฤษต่างๆไปพร้อมกัน ที่สำคัญเราจะสร้างผลผลิตในการเดินหน้าพัฒนาประเทศชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จชต. หลังจากนี้ หากมีพี่น้องประชาชนมาเลเซีย จะเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทย ทางการไทย ยินดีที่จะต้อนรับในฐานะแขกพิเศษของประเทศ และสร้างสิ่งดีๆ ร่วมกันอีกมากมาย

รองเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวเพิ่ม เป็นการพัฒนาสื่อมวลขน ระหว่าง 2 ประเทศ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นการยกระดับความก้าวหน้าในการใช้สื่อสารมวลชน ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ สู่ความเข้าในหมู่ประชาชนในการสร้างสันติสุขร่วมกันได้ พี่น้องประชาชนชาวกลันตันมีรอยต่อความเป็นพี่น้อง กับพื้นที่ชายแดนใต้ของไทยมาช้านาน และร่วมกันสร้างความเป็นปึกแผ่น การเป็นอยู่ วัฒนธรรมร่วมกันเดินหน้าผลักดันพัฒนาร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา สื่อสารมวลชน

นอกจากนี้ทาง รองเลขาธิการ ศอ.บต. และสื่อ เดินทางไปเยี่ยมเยียนกงสุลใหญ่ของไทย ประจำรัฐกลันตัน เพื่อพูดคุยทิศทางการทำงาน และรายงานการทำงานที่ผ่านมา รวมถึงในอนาคต สร้างความเข้าใจให้กับสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวอีกระดับ โดยเฉพาะการช่วยเหลือพี่น้องชาวมาเลเซียเชื่อสายไทย

สำหรับนางนูรียานี โมฮัมมัดอิดริส (Puan NURIANI MOHAMAD IDRIS) ผู้อำนวยการการสือสาร RTM ประจำรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวว่า เราพร้อมจะเดินทางร่วมกันในความเจริญทุกด้าน และกระชับมิตรไมตรีภาคีสื่อสารมวลชน เป็นประตูสู่ความสุขความเข้าใจระหว่างประเทศตลอดไป
#53
สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา นำสื่อมวลชนจังหวัดสงขลาดูงานการผลิตและการบริหารจัดการลองกองคุณภาพ ของดีเมืองนราฯ ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส

ที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา จัดกิจกรรมนำสื่อมวลชนจังหวัดสงขลาดูงานการผลิตและการบริหารจัดการลองกองคุณภาพ โดยมี นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา , นางรัตนา ถิระโชติ เกษตรจังหวัดนราธิวาส , นายวีระพันธ์ นิลวัตร เกษตรอำเภอระแงะ และนายผิน วงษ์น้อย ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ร่วมเสวนาให้ความรู้ในครั้งนี้

นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ที่นี้มีจุดเด่นอยู่ที่การปรับแต่งลองกองต้นเตี้ย ที่ทางสำนักเกษตรฯ ได้เข้ามาส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกร โดยลองกองต้นเตี้ยก็มีข้อดีอยู่มากมาย ทั้งผลผลิตที่มีคุณภาพ แม้ปริมาณจะน้อยลง และลดค่าใช้จ่ายในการจ้างเก็บ เพราะสะดวกต่อการเก็บ เป็นอย่างมาก ซึ่งทางสำนักงานเกษตรฯ มีความมุ่งหวังกระตุ้นให้เกษตรกรเกิดการพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพผลผลิตทางเกษตรให้ดีขึ้น พร้อมที่จะก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 และยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กระจายตัวอย่างทั่วถึง ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายสินค้าดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ มีการฟังบรรยายผลการดำเนินงาน ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส การเรียนรู้ และการสาธิตการเก็บเกี่ยวลองกอง มีสถานีย่อยต่างให้ได้ศึกษาเรียนรู้ อาทิ สถานีเรียนรู้ที่ 1 เทคโนโลยีการตัดแต่งทรงพุ่ม , สถานีเรียนรู้ที่ 2 การตัดแต่งช่อดอก – ช่อผล , สถานีเรียนรู้ที่ 3 การบริหารจัดการน้ำ , สถานีเรียนรู้ที่ 4 การจัดการศัตรูพืช และ สถานีเรียนรู้ที่ 5 การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพเพื่อลดต้นทุนการผลิต

นายผิน วงษ์น้อย ประธานศูนย์เรียนรู้กล่าวว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร พร้อมปลูกไม้ผล-ไม้ยืนต้นอื่นๆ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2526 ในพื้นที่ของตนเอง จำนวน 5 ไร่ โดยยึดธรรมชาติเป็นที่พึ่ง ทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพมีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตมากมาย เช่น โรคแมลง ต่อมาภายหลังได้มีโอกาสเดินทางไปทัศนศึกษาดูงานด้านการเกษตรกับสำนักงานเกษตรอำเภอระแงะในพื้นที่ต่างๆ จนทำให้มีมุมมองและทัศนคติด้านการเกษตรที่เปลี่ยนไป ได้มีการนำความรู้ทางวิชาการที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในสวนของตนเอง ยึดหลักการทำเกษตรที่ดีและเหมาะสม และแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้การดำเนินกิจกรรมประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ จนได้ทำการขยายพื้นที่ปลูกลองกอง ยางพารา และอื่นๆ เป็นพื้นที่กว่า 30 ไร่ เช่น ปลูกยางพารา พืชผัก พืชไร่ สวนไม้ผล (ลองกอง เงาะ มังคุด ทุเรียน มะพร้าว และสละอินโดนีเซีย) ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพ ปราศจากสารเคมี เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค มีรายได้จากการทำการเกษตรไม่ต่ำกว่า ปีละ 400,000 บาท เป็นอย่างน้อย จนในที่สุดได้รับคัดเลือกเป็นสวนลองกองต้นแบบของจังหวัดนราธิวาส และเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตลองกองคุณภาพ ของจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียง

นอกจากนี้ยังได้มีการเตรียมจัดกิจกรรม วันลองกอง ในงานของดีเมืองนรา ครั้งที่ 43 ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 17-26 กันยายน 2561 ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชมพรรษา อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ภายในงานก็จะมีกิจกรรมทั้งการประกวดผลผลิต เช่น ลองกอง เงาะโรงเรียน ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ฯลฯ และงานมหกรรม ชม ชิม ช้อป แชะ แชร์ ในงาน ตลาดนัดสินค้าเกษตร ชายแดนใต้ ระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน 2561 ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชมพรรษา อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ด้วย
#54
น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ในรอบหลายปีที่มีการขยับการจัดกงานจากสาย3 สายเสน่หาฯมาจัดที่สาย1 สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ  Hatyai Moon Festival 2018" ระหว่างวันที่ 22 - 24 กันยายน 2561 ณ ถนนธรรมนูญวิถี และถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ครั้งแรกกับโคมไฟยักษ์พ่นไฟ และมังกรพ่นน้ำ พร้อมระบบแสงสีเสียงสมบูรณ์แบบใจกลางเมืองหาดใหญ่ โคมไฟเตงลั้งระบำได้ นับร้อยดวง

ชมการประกวด ธิดาดวงจันทร์ การแสดงแสงสีเสียงสื่อผสม ชุด ตำนานไหว้พระจันทร์ การประกวดจัดโต๊ะไหว้พระจันทร์ ยาวที่สุดในหาดใหญ่ ฟังบทเพลงจันอันไพเราะจากศิลปิน อันฉี The Voice  ร่วมไหว้พระจันทร์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล พร้อมกดปุ่มส่งคำขอพรด้วยลำแสงเลเซอร์ ชิม ขนมไหว้พระจันทร์ไส้พิเศษ "ไส้ต้มยำ" ครั้งแรกของโลก งานจริงยิ่งใหญ่และประทับใจกันไหมต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง

แต่ขณะนี้เริ่มมีการติดตั้งโคมไฟยักษ์กันแล้วบนถนนธรรมนูญวิถี ตัดกับสาย1 (นิพัทธ์อุทิศ1) ช่วงออกจากสถานีรถไฟการจราจรอาจติดขัดได้เพราะมีการปิดจราจรบางส่วน ช่วยกันหลีกเลี่ยงและให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ด้วยน่ะครับ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมืองหาดใหญ่
#55
เชิญร่วมโครงการปั่นปันบุญ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลังโรงพยาบาลหาดใหญ่ "ปั่นจักรยานการกุศลเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลัง (Spine Center)"

เนื่องด้วยกลุ่ม ปั่นปันบุญ ซึ่งประกอบด้วย นักปั่นจักรยานจิตสาธารณะทั่วประเทศ และมูลนิธิ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ร่วมกันจัดกิจกรรมปั่นการกุศล ภายใต้ชื่อ "ปั่นจักรยานการกุศลเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลัง (Spine Center)" เพื่อ ช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพาตุ จากอุบัติเหตุกระดูกสันหลัง โดยรูปแบบการจัดงานจะเป็นการ ปั่นจักรยานทางไกล จาก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันที่ 2 – 23 ธันวาคม 2561 และ นักปั่นทุกคันต้องติดพุ่มผ้าป่า เพื่อรับบริจาคเงินจากผู้มีจิตกุศล ตลอดเส้นทางระยะทางเกือบ 2,000 กิโลเมตร

สืบเนื่องจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ ถูกกำหนดให้เป็นโรงพยาบาลประจำภาคใต้ตอนล่าง ดูแลเครือข่ายโรงพยาบาลใน 7 จังหวัดภาคใต้ ทำให้โรงพยาบาลหาดใหญ่ต้องรับภาระการดูแลผู้ป่วยมากขึ้นทุกปี งบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุนจึงไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ป่วยขาดโอกาสในการรักษาที่สะดวก และมีระดับมาตรฐานการดูแลรักษาที่สูงขึ้น

ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ภาวะกระดูกสะโพกหัก (Hip fracture)จากภาวะกระดูกพรุนทวีความรุนแรงมากขึ้น จำนวนผู้ป่วยกระดูกสันหลัง และสะโพกหักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

งานครั้งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อหารายได้ ร่วมสมทบทุนการสร้างศูนย์ดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลังโรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา เน้นการบริจาค จากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศไทย โดยใช้จักรยานเป็นยานพาหนะ เพื่ออำนวยความสะดวก ในการบอกบุญ และรับอาสาเป็นสะพานบุญ

อีกทั้งยังมีช่องทางการโอนเงินบริจาคอีกหนึ่งช่องทาง เพื่ออำนวยความสะดวก โดยสามารถร่วมสมทบทุนได้ที่ บัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทยเลขที่ 936-029236-2 ในนาม "ปั่นจักรยานการกุศลเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลัง (Spine Center)"
#56
ขึ้นเขาจังโหลน วันเดียวเที่ยวรัตภูมิ

วันนี้มีภารกิจขึ้นเขาจังโหลน สัมผัสความงามบนถ้ำอันเป็นที่เที่ยวโอทอปนวัตวิถี ของอำเภอรัตภูมิ ซึ่งมีความสวยงามน่าเที่ยวชมอย่างยิ่ง เดินขึ้นบันไดไปเกือบ 300 ขั้น ชมความงามของหินงอก หินย้อย ชมถ้ำค้างคาว แสงส่องจากช่องบนยอดเขาก็เป็นอีกหนึ่งความสวยงามของถ้ำแห้งนี้ ขณะนี้อยู่ในช่วงร่วมกันพัฒนาของชุมชนอีกไม่นานคงเป็นที่เที่ยวที่น่าสนใจมาอย่าลืมมาชมกันนะครับ

จากนั้นเลยลงมากะว่าจะไปหาของกินหรอยๆ ที่ร้านห้อยขาวังแร่ ไปจากหาดใหญ่ก่อนถึงแยกคูหานิดเดียว เข้าไปถึงโอ้โหคนเยอะมาก เจ้าถิ่นเลยชวนไปหาของกินที่ร้านเปิดใหม่ชื่อร้านบ้านเถ้าแก่ แถศาลาใหม่เข้าทางวัดใหม่ทุ่งคาแค่นิดเดียว จัดร้านแบบโบราณ ของกินพื้นบ้านทั่วไป ยังไม่อิ่มหนำมาแวะกินของหวานที่ร้านมันเดือย มาจากรัตภูมิก่อนถึงแยกคูหานิดเดียว

จบทริปนี้ได้ครบทั้งขึ้นเขา ลงคลอง กินของหรอย รัตภูมิบ้านเราก็มีของดีให้ไปเยี่ยมชมกันไม่น้อยเลย ว่างๆ อย่าลืมไปเที่ยวกันครับ

#57
นักมวยหญิงยอดกตัญญู น้องนีน่าไร้พ่ายชก 13ไฟท์ 3แชมป์ หาเงินเลี้ยงแม่ป่วยอัมพฤกษ์

สังเวียนชีวิตของสุดยอดนักมวยหญิงยอดกตัญญู ต่อยมวยนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แม่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ด้านการเรียนก็เก่งสอบได้ที่ 1 ของห้อง เผยความฝันอยากเป็นแชมป์โลกมวยหญิง และเรียนให้สูงที่สุด เพื่อดูแลพ่อแม่ไปตลอดชีวิต และไฟท์สำคัญที่ขึ้นชกเมื่อคืนนี้พลิกล๊อคเอาชนะนักมวยหญิงฟอร์มสดที่ไม่เคยแพ้ใครได้ครองเข็มขัดเส้นที่ 3 ได้สำเร็จ และทำสถิติชก 13 ครั้ง ไร้พ่ายไม่เคยแพ้ใคร

(28 ส.ค.61) ที่ค่ายมวย "เหลี่ยมธนวัต" ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นค่ายมวยของ พ.ต.ท.ธนวัต เส้งสุย รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.หาดใหญ่ ที่ค่ายนี้มีนักมวยหญิงคนเดียวของค่ายชื่อว่า "นีน่า เหลี่ยมธนวัต" หรือ ด.ญ.เสาวณีย์ แพทย์ศาสตร์ อายุเพียงแค่ 11 ปี หรือ น้องนีน่า เรียนอยู่ชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านคลองหวะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดย น้องนีน่า เป็นนักมวยหญิงที่ทั้งเก่ง และสุดยอดของความกตัญญู เนื่องจากเธอชกมวย เพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเป็นลูกสาวคนเดียวของ นายสมพร แพทย์ศาสตร์ อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นเทรนเนอร์ของค่าย และ นางโสรยา สาเรง อายุ 51 ปี ผู้เป็นแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ร่างกายซีกขวาอ่อนแรง

ซึ่งน้องนีน่า เป็นนักมวยหญิงที่เก่งมาก โดยขึ้นชกมาแล้ว 12 ครั้ง ไม่เคยแพ้ใคร และครองเข็มขัดแชมป์ 2 เส้น ในรุ่น 42 กิโลกรัม ชมรมมวยหญิง จ.พัทลุง และ รุ่น 42 กิโลกรัม ชมรมมวยหญิง จ.สงขลา และนอกจากจะชกมวยเก่งแล้ว ยังเรียนเก่งด้วยสอบได้ที่ 1 ของห้อง ปัจจุบันครอบครัวของน้องนีน่า ทั้ง 3 ชีวิต มาอาศัยอยู่ที่ค่ายมวยเหลี่ยมธนวัต โดยมี พ.ต.อ.ธนวัต เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูทั้งน้องนีน่า และพ่อกับแม่ เป็นอย่างดี สำหรับชีวิตประจำวันของน้องนีน่า เช้าก็ไปเรียน เย็นก็กลับมาซ้อมมวย และช่วยเลี้ยงเป็ดไข่ 500 ตัว ที่อยู่หลังค่ายมวย เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวอีกด้วย

พ.ต.ท.ธนวัต เส้งสุย รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.หาดใหญ่ เจ้าของค่ายมวยเหลี่ยมธนวัต และเป็นทั้งผู้จัดการ และหัวหน้าคณะ บอกว่าน้องนีน่า เป็นเด็กที่อดทน และกตัญญูมาก โดยเริ่มชกมวยมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่ร้างลาเวทีไปหลายปี เพราะต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถทำงานได้ เมื่อแม่อาการดีขึ้น ก็เริ่มกลับชกมวยอีกครั้งในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา จนคว้าแชมป์เข็มขัด 2 เส้น และค่าตัวตอนนี้อยู่ที่ 2,000 บาท

ด้าน น้องนีน่า กล่าวว่า ความฝันอยากจะเป็นแชมป์โลกมวยหญิง และเรียนหนังสือให้สูงที่สุด เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีที่สุดไปตลอดชีวิต และทุกครั้งที่ขึ้นชกก็ไม่เคยท้อหรือกลัวเจ็บ และจะพยายามทำให้ดีที่สุด

ในขณะที่ นางโสรยา แม่ของน้องนีน่า กล่าวว่า ภูมิในตัวลูกสาวคนนี้มาก และทุกครั้งที่ขึ้นชก ก็ใจไม่ค่อยดี เพราะเป็นห่วงลูก กลัวลูกจะเจ็บ ซึ่งอนาคตหลังจากนี้พร้อมที่จะสนับสนุนความฝันของลูก ทั้งการเป็นนักมวย และนักเรียน ควบคู่ไปด้วยกัน

และล่าสุดเมื่อคืนนี้ น้องนีน่า ได้ขึ้นชกอีกครั้งที่สนามมวยนานาชาติหาดใหญ่ และเป็นไฟท์สำคัญอีกไฟท์หนึ่ง เพราะเป็นการชิงแชมป์ว่างสนามมวยนานาชาติหาดใหญ่ ในรุ่น 85 ปอนด์ หรือน้ำหนักประมาณ 38.5 กิโลกรัม โดยชกกับ รุ่งขวัญฤทัย เกียรติวิวัฒน์ ซึ่งเป็นนักมวยหญิงดาวรุ่นฟอร์มสดจาก จ.สุราษฎร์ธานี ที่ไม่เคยแพ้ใครมาเช่นกัน และคู่นี้มีเงินเดิมพัน 2 หมื่นบาท

โดยบรรยากาศการชกเซียนมวยให้ รุ่งขวัญฤทัย เป็นต่อนีน่า แต่เมื่อขึ้นไปอยู่บนเวที นีน่า ก็สู้ไม่ถอย ใช้ไม้เด็ดลูกเตะแล้วค้ำ เมื่อครบ 5 ยก ก็กับมาพลิกล๊อคกลับมาเป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนน 49 ต่อ 47 คะแนน ทั้ง 3 เสียง ได้ครองเข็มขัดแชมป์เป็นเส้นที่ 3 และทำสถิติชนะรวด ไม่เคยแพ้ใครมา 13 ไฟท์ ติดต่อกัน ซึ่งตลอดการชกนางโสรยา ผู้เป็นแม่ ก็คอยดูอยู่ห่างๆข้างเวที ส่วนพ่อก็ขึ้นไปเป็นพี่เลี้ยง

ทั้งนี้หลังการชก น้องนีน่า บอกว่า ดีใจมากที่ได้เข็มขัดมาอีกเส้น เพราะทีแรกก็ไม่คิดว่าจะชนะได้ แต่เมื่อขึ้นไปอยู่บนเวทีคู่ต่อสู้บางกว่า และน่าจะแรงน้อยจึงมั่นใจว่าเอาชนะได้ ซึ่งตนมีทีเด็ดคือลูกเตะ ส่วนผู้เป็นแม่ที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เวทีบอกเพียงสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มว่า ดีใจมากที่ลูกชนะและคอยเอาใจช่วยมาตลอด

ด้าน พ.ต.ท.ธนวัต กล่าวว่า วันนี้ดีใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะชัยชนะแล้วก็ยังได้ครองแชมป์ด้วย แม้ว่าจะเป็นรองคู่ต่อสู้อยู่มาก แต่ก็สามารถพลิกล๊อคเอาชนะมาได้ เป็นเพราะความพยายามฟิตซ้อมมาตลอด ซึ่งหลังจากนี้ต้องพัฒนาฝีมือให้เป็นยอดมวยหญิงตามความฝันของน้องคนต่อไป
#58
สำนึกสาธารณะเริ่มต้นที่ตัวเรา

รู้สึกโชคดีมีหลังบ้านติดคลองแม้จะเป็นสายเล็กๆ แต่น้ำยังไหลเวียนตลอดทั้งปี หลายวันที่ผ่านมามองลงไปในคลองแล้วใจหายทุกที

มันมาได้ยังไงขวดแก้ว พลาสติก โฟม สารพัดขยะ วันนี้เลยลงไปจัดเก็บขึ้นมาได้ 1โคม และจะลองหาวิธีทำทุ่นดักขยะแบบง่ายๆดู

เชื่อว่าขยะนี้เมื่อนำไปทิ้งถังจะเป็นขุมทรัพย์ของใครหลายคน แปลกใจที่เห็นบางคนเลือกที่จะนำเศษอาหารมัดใส่ถุงทิ้งถังขยะทั้งที่สามารถให้เป็นอาหารปลาได้ แต่กลับเลือกโยนเศษขยะลงคลองแทน

คลองสายเล็กๆ หรือแม้แต่คูข้างถนนท้ายที่สุดแล้วมันก็ไหลไปลงคลองอู่ตะเภา ไปรวมกับจุดที่ผลิตน้ำประปาส่งมาให้เราบริโภค น้ำที่ได้มาจะสะอาดหรือไม่เราเองก็มีส่วนร่วมเช่นกัน

ขยะเหล่านี้ไม่ได้หยุดแค่อู่ตะเภาแต่มันไปถึงทะเลสาบสงขลา ถึงทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบัน

ที่นำเสนอภาพนี้แค่อยากบอกว่าเราไม่ต้องเก็บขอแค่เราไม่ทิ้งก็เพียงพอแล้วครับ   
#59
ไทยลีก5 เจอกันตั้งแต่นัดแรก สงขลาอัสลาน VS สงขลาเอฟซี

เส้นทางสู่ไทยลีก4 ของทีมอเมเจอร์ลีก หรือไทยลีก5 ไม่ง่ายเลย ไทยลีก4 หาดใหญ่มี 2 ทีม แต่ส่งขลาไม่มีเหลือ ปีนี้เลยมีทีมใหม่เข้าประกวด 2 ทีม คือ นางเงือกสมิหลา สงขลาเอฟซี และสิงโตแห่งลุ่มน้ำทะเลสาป สงขลาอัสลานทีเอสยู และทั้ง 2 ทีมก็ต้องกันตั้งแต่นัดแรก คู่นี้บอกเลยว่านัดเดียวรู้ผล สงขลาทีมไหนจะได้ไปต่อ 

กติกาการแข่งขัน ในรอบแรกจะใช้การแข่งขันแบบ มินิลีก โดยในแต่ละกลุ่มจะทำการแข่งขันแบบพบกันหมด และทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของทั้งสองกลุ่ม มาทำการแข่งขันแบบน็อกเอาต์ เพื่อหาตัวแทนของโซนตอนล่าง ไปทำการชิงแชมป์ภูมิภาคกับ แชมป์โซนตอนบน เพื่อเอาเพียงหนึ่งเดียว ที่จะได้รับสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่น ฟุตบอลรายการ ออมสินลีก T4 โซนภาคใต้ ต่อไป

สงขลาเอฟซี พบสงขลาอัสลานทีเอสยู แข่งวันไหน สนามใด จะติดตามข้อมูลมาฝากกันครับ
#60
จากตลาดประชารัฐ ถึงโอทอปนวัตวิถี ผลงานที่มองแทบไม่เห็นของรัฐบาล

ความพยายามในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลเพื่อหวังให้เกิดความเข้มแข็งในระดับรากหญ้า ดูเหมือนว่าจะมีอย่างต่อเนื่องและมากมายหลายโครงการ จากตลาดประชารัฐ ที่พยายามเปิดตลาดใหม่ๆ หาที่ขายสินค้าให้กับผู้ขาย ซึ่งเป็นโครงการเด่นในปลายปีที่แล้ว ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และอำเภอ แม่งานหลักที่งงตั้งแต่ภารกิจแล้ว ศดธ.มาเปิดหลาดแล้วชาวบ้านร้องทุกข์กับใคร

โครงการใหญ่ของปีนี้ขยับมาที่กรมการพัฒนาชุมชนกันบ้าง กับชื่อชุมชนท่องเที่ยว โอทอปนวัตวิถี ข่าวว่าใช้งบเกือบหมื่นล้านมาทุ่มเทให้กับโครงการนี้ ยกระดับจากโอทอปที่ผลิตสินค้ามาขาย เป็นการท่องเที่ยวแทน ซึ่งดูเหมือนว่าให้ พช.อำเภอสรรหาชุมชนท่องเที่ยวมาแล้วเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน

ซึ่งเมื่อดูโครงการแรกที่ ศดธ.เป็นแม่งานกับโครงการ2 ของ พช.ดูแล้วไม่ต่างกันคือ โครงการมันมาจากส่วนกลาง งบส่วนกลาง คนส่วนกลาง ที่ลงมายังภูมิภาค แต่ขาดการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เกรงว่าสุดท้ายแล้วทั้ง 2 โครงการจะขาดความยั่งยืนในการขับเคลื่อน ซึ่งน่าเสียดายมากหากเป็นเช่นนั้น

เพราะทุกโครงการล้วนใช้ภาษีชาวบ้านทั้งสิ้น