Main Menu

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ www.SongkhlaMedia.com เรียนเชิญชาวสงขลาและทุกท่านร่วมขับเคลื่อนเว็บไซต์สาระที่มากกว่าข่าว ร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อสงขลาบ้านเรา

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ฅนสองเล

#1156
เด็กสมัยนี้อาจไม่ตื่นเต้นกับเทศกาลชิงเปรต แตกต่างจากชีวิตในวัยเยาว์ของคนที่มีอายุย้อนเวลากลับไปประมาณ 20 กว่าปีก่อน เมื่อใกล้ถึงเทศกาลเดือนสิบเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นมากมาย ทำไมต้องตื่นเต้นเพราะเวลาวันสารทเดือนสิบเราก็จะมีขนมมกินหลายอย่างเลย

ก่อนถึงวันเดือนสิบ พี่ชายผมมีหน้าที่ไปหายอดพ้อ หรือกระพ้อ หากล้วยน้ำว้าหรือถ้าได้กล้วยนางยาจะดีมากเลยเอามาตระเตรียมไว้กะว่าบ่มไว้ให้สุกในวันเดือนสิบพอดีเพื่อที่จะได้ใช้ทำต้ม ทำข้าวต้มมัด ในวันเดือนสิบ ในแต่ละปีวันชิงเปรต จะมี 2 ครั้งคือ ครั้งแรก วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่าวันรับเปรต ครั้งที่ 2 วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่าวันส่งเปรต นอกจากการทำต้ม ทำข้าวต้มแล้ว ขนมประจำเดือนสิบก็ต้องมีแน่นอนคือ ขนมเจาะหู บางปีแม่ก็ทำขนมค่อม ขนมเทียนเสริมมาด้วย ส่วนขนมาา ขนมพอง และผลหมากรากไม้อื่นๆ ก็จะจัดเตรียมหาซื้อมาจากตลาด

การทำขนมเดือนสิบของที่บ้านผมและทุกๆ บ้าน ไม่ได้ทำเพียงแค่พอรับประทานในบ้านเท่านั้น ต้องทำเผื่อไปทำบุญที่วัด ถวายพระ ตั้งร้านเปรต และแจกเพื่อนบ้านโดยเฉพาะบ้านที่เป็นญาติผู้ใหญ่ เอาไปให้เขา เขาให้กลับมา ขนมเจาะหูในหม้อเขียวที่บ้านจึงไม่ได้มีแค่ฝีมือแม่เท่านั้นแต่ยังมีของป้าเลื่อน ของน้าลิ่ม ของพี่สาว อีกสารพัดคนเเกินกว่าจะบรรยายได้หมด เช่นเดียวกับขนมต้ม ข้าวต้มมัดทั้งหลายมีทั้งแบบเหนียวขาว เหนียวดำ ใส่ถั่ว เรียกว่าเดือนสิบแต่ละปีได้กินขนมของคนทั้งควนเลยทีเดียว

ผมเป็นคนไม่เจนจัดเรื่องทำของกิน เรียกว่าช่วยได้อย่างดีก็แค่สับหางต้ม เขี่ยหนมเจาะหู หาไม้ฟืน อยู่เป็นลูกมือแม่บ้างหรือบางทีก็หนีเที่ยวกลับทีเดียวตอนได้กินเลย แต่ยังดีที่มีพี่หลวง พี่บ่าวอีกคนคอยเป็นผู้ช่วยหลักและทำเป็นทุกอย่างไม่ว่าจะแทงต้ม หลบเหนียว ลายแป้ง ปั้นหนมเจาะหู แหลงเรื่องหนมเจาะหู เชื่อว่าอาจไม่ใช่เมนูโปรดของใครๆ แต่ถ้าจำกันได้เชื่อว่าหลายคนจะคิดเหมือนผม หนมเจาะหูยิ่งใกล้หมดยิ่งกินหรอย แม่ทำไว้หม้อเขียวใบเติบกินกันเกือบเดือน แรกๆ ไม่ค่อยมีใครกินแต่พอใกล้หมดชิงกันพักเดียว

เมื่อถึงวันไปวัดทุกคนจะที่บ้านจะตื่นกันแต่หัวรุ่ง ทำกับข้าวเมนูเด็ดๆ อาทิ แกงคั่วกุ้งกับหน่อไม้ แกงจืด ขนมหวานพวกวุ้น บัวลอย ผลไม้ดีๆ องุ่น ลองกอง แอปเปิ้ลเตรียมไว้เพื่อพาไปวัดโดยเฉพาะ วัดก็อยู่ไม่ไกลบ้านมาก วัดคงคาเลี้ยวหรือสำนักสงฆ์คงคาเลี้ยว ที่นี่เดินไปก็ถึงแต่ถ้ามาวัดถ้ำเขาพระ ต้องมากับรถเครื่องหรือพลอยรถยนต์ญาติๆ มา ที่วัดจะมีพิธีสงฆ์ตามประเพณี ถวายข้าว ไหว้พระขอพร แต่เด็กๆ แบบเราใจจดจ่ออยู่ที่ร้านเปรต จ้องแลของหรอยๆ ขนม ผลไม้ที่ไม่ค่อยได้กิน ส่วนพวกเมนูพื้นๆ หนมต้ม หนมรา ข้าวพองจะถูกลืมไปเลย

แต่พอเอาเข้าจริงของบนร้านเปรตที่เป็นของดีๆ จะได้คนใหญ่ที่มาแย่งเด็กหรือได้เด็กประเภทถ้าแหลงบ้านๆ คืออยู่เสือกๆ หาญๆ บางคนชิงไปตั้งแต่พระยังไม่ทันตัดสายสิญน์ด้วยซ้ำไป หลังจากวันเดือนสิบไปแล้ว หนมต้มที่เหลือจะโดนแปรสภาพเป็นต้มปิ้ง ย่าง ทอด เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยที่เคี้ยวกันให้แข็ดกรามไปเลย บทสรุปของงานเดือนสิบในมุมมองส่วนตัวคิดว่านือคือวันกตัญญู เป็นวันที่เราได้ระลึกนึกถึงบรรพบุรุษ ไดทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ท่าน เหนือสิ่งอื่นใดยังได้พบปะญาติพี่น้องที่กลับมารวมกันนานทีปีหน พอเจอหน้ากันแบบนี้ก็แถมงานบุญนิดๆ เทศกาลไหนๆ พี่ไทยก็ตั้งวง

ว่าไปแล้วงานเดือนสิบน่าจะเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของคนใต้บ้านเราขนานแท้นะครับ แต่นอกเหนือจากที่นครแล้วก็ไม่เห็นมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคการท่องเที่ยวไหนในสงขลาส่งเสริมประเพณีบรรพบุรุษตัวเองอย่างจริงจังเลย ผิดกับงานฝรั่ง งานจีน หรืองานผีเข้าฝัน ไม่ว่าจะเป็น ปีใหม่ กินเจ ตรุษจีน แฟชั่น ใส่หมวก ใส่วิก ลองเปลี่ยนมาเป็นประเพณีสารทเดือนสิบให้ยิ่งใหญ่บ้างได้ไหมครับเจ้านาย เพราะงานนี้ไม่ต้องมีใครเข้าฝันหากท่านทำจริงจังผลบุญถึงบรรพบุรุษแน่นอน เรียนชี้แนะด้วยความเคารพ

อ่านเรื่องเล่าแบบลูกทุ่งๆ บ้านกันแล้ว มาดูที่เป็นเนือหาสาระของประเพณวันสารทเดือนสิบจาก www.school.net.th กันบ้างครับ

เดือนสิบในอดีตมีการทำเสาเปรตข้างบนจะมีของกินหรอย รวมทั้งเงินรางวัลสำหรับคนที่ปีนขึ้นไปเก็บได้ด้วย

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ การทำบุญวันสารทเดือนสิบ หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า วันชิงเปรตนั้นในเดือนสิบ(กันยายน) มีการทำบุญที่วัด 2 ครั้ง

ครั้งแรก วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันรับเปรต (ปีนี้ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 255 ) ครั้งที่สองวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่าวันส่งเปรต (ปีนี้ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 255)

การทำบุญทั้งสองครั้งเป็นการทำบุญที่แสดงถึงความกตัญญูต่อบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วโดยอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของบรรพบุรุษที่ตกอยู่ในเปรตภูมิเป็นคติของศาสนาพราหมณ์ที่ผสมใน

ประเพณีของพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนนิยมไปทำบุญ ณ วัดที่เป็นภูมิลำเนาของตนเพื่อร่วมพิธีตั้งเปรตและชิงเปรตอาจสับเปลี่ยนกันไปทำบุญ ณ ภูมิลำเนาของฝ่ายบิดาครั้งหนึ่งฝ่ายมารดาครั้ง

หนึ่งจึงทำให้ผู้ที่ไปประกอบ อาชีพจากถิ่นห่างไกลจากบ้านเกิดได้มีโอกาสได้กลับมาพบปะสังสรรค์และรู้จักวงศาคณาญาติเพิ่มขึ้น

ขนมเดือนสิบ จัดขึ้นโดยเฉพาะใช้ในโอกาสทำบุญเดือนสิบ ที่จำเป็นมี 5 อย่าง คือ
1.ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
2.ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพ สำหรับญาติผู้ล่วงลับใช้เดินทาง
3.ขนมกง ( ขนมไข่ปลา ) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
4.ขนมเจาะรูหรือขนมเจาะหูหรือขนมเบซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินสำหรับใช้จ่าย
5. ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับใช้เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์

ในวันแรม 1 ค่ำเดือนสิบ ชาวบ้านจัดภัตตาหารไปทำบุญที่วัดชาวบ้านเรียกวันนี้ว่าวันชิเปรตเป็นวันที่ยมบาลเปิดนรกปล่อยเปรตชนมาเยี่ยมลูกหลาน ลูกหลานก็ทำบุญต้อนรับครั้งหนึ่งใน วันแรม

15 ค่ำเดือนสิบเรียกว่าวันส่งเปรตเป็นวันที่เปรตชนต้องกลับยมโลกลูกหลานก็จะทำบุญเลี้ยงส่งอีกครั้งหนึ่ง

เดือนสิบปีนี้อย่างลืมหลบเรินหลบรังกลับบ้านเกิดไปไหว้บรรพบุรุษและพบปะญาติพี่น้องกันนะครับ
#1157
ผู้ว่าฯสงขลา มอบโล่รางวัลให้กับ อบจ.สงขลา ในประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานดีเด่น ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระดับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ประจำปี 2554

(27 ก.ย. 55) ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายกฤษฎา  บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา  มอบโล่รางวัลให้แก่ นายอุทิศ  ชูช่วย  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา  ประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทีมีผลงานดีเด่น ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระดับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ประจำปี 2554 เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
           
นายโส  เหมกุล  หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา  กล่าวว่า ด้วยกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดให้มีการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานดีเด่น ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระดับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ประจำปี 2554 
           
สำหรับระดับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 ประกอบด้วย จังหวัดในเขตศูนย์   5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และจังหวัดนราธิวาส ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานดีเด่น ได้รับรางวัล ประเภทองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
#1158
ที่ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา  อ.เมือง จ.สงขลา  เมื่อวานนี้  (26 ก.ย.55) นายสุรพล พนัสอำพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์จังหวัดสงขลา

เพื่อสรุปผลการดำเนินงานการเฝ้าระวัง และขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม รวมทั้งการเผยแพร่ทางวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินกิจกรรมในทุกกลุ่ม ทั้งในกลุ่มนักเรียน เยาวชน และประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งผลการดำเนินงานประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ  โอกาสนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มอบเงินรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ จังหวัดสงขลา ดังนี้

ประเภทสื่อหนังตะลุง  ได้แก่ นายพงศ์พันธ์  ทินนิมิต 
ประเภทสื่อรายการวิทยุ  ได้แก่  นายรอฝีอ๊ะ  หรือ  อริสา หมานละ  สถานีวิทยุชุมชนนกเขา เรดิโอ อำเภอจะนะ
ประเภทสื่อชาวบ้าน   ได้แก่  ?นักแต่งกลอน?   นายสวัสดิ์   ยางทอง   อำเภอควนเนียง
ประเภทศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมดีเด่น ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม  อำเภอบางกล่ำ
ประเภทศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมในสถานศึกษา ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมวิทยาลัยเทคโนโลยีสงขลา   อำเภอเมืองสงขลา

ในโอกาสนี้  นายสุรพล  พนัสอำพล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของจังหวัดสงขลา และภาคใต้  เช่นหนังตะลุง มโนรา และอื่นๆอีกหลายอย่างที่บรรพบุรุษได้ปฏิบัติสืบทอดกันมากำลังจะสูญหายไป เพราะมีวัฒนธรรมยุคใหม่คืบคลานเข้ามาทดแทน จึงขอฝากให้ผู้เกี่ยวข้อง และคนไทยได้ให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมไทยทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติเพราะเป็นเอกลักษณ์จองชาติไทย....


ดำรง  เศวตพรหม//ข่าว
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
#1159
โดย เดลินิวส์ www.dailynews.co.th

กรมการขนส่งทางบกเตรียมนำแผ่นป้ายทะเบียนรถรูปแบบใหม่ออกให้บริการปชช. หลังหมวดสุดท้าย ?ฆฮ? หมดกลางต.ค.นี้

เมื่อวันนี้  25 ก.ย. ที่กรมการขนส่งทางบก นายสมชัย  ศิริวัฒนโชค อธิบดีฯ  แถลงข่าวการกำหนดเลขทะเบียนรถยนต์และจักรยานยนต์แบบใหม่ โดยจะเริ่มหมวดอักษรจาก 1 กก 1 เรียงตามลำดับ จนถึง 1 กก 9999  และเริ่ม 1 กข 1 จนถึง 1 กข 9999 ต่อด้วย 1 กค 1 ถึง 1 กค 9999  เรื่อยไปจนถึง 1 กฮ 9999 หลังจากนั้น จึงใช้ตัวเลข 2 ถึง 9 นำหน้าหมวดตัวอักษรตามประกาศกำหนดให้กับเจ้าของรถที่ยื่นจดทะเบียน  คาดว่าหมายเลขทะเบียนรถยนต์รูปแบบใหม่นี้จะใช้ได้ 157 ปี เนื่องจากขณะนี้หมวดอักษร ฆฮ  ซึ่งเป็นหมวดสุดท้ายจะหมดลงภายในกลางเดือน ต.ค.นี้    ส่วนจักรยานยนต์คาดว่าจะใช้ได้ 289 ปี ดังนั้นกรมการขนส่งทางบกจึงจะเริ่มใช้หมวดอักษร แบบใหม่   โดยได้มีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องการกำหนดใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถแบบใหม่ดังกล่าวแล้ว

นายสมชัย  กล่าวว่า แผ่นป้ายทะเบียนรถรูปแบบใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะ และรูปแบบของแผ่นป้ายทะเบียนรถ จากรูปแบบเดิมเล็กน้อย  โดยแผ่นป้ายทะเบียนสำหรับรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน รถยนต์รับจ้างสามล้อ  รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร  รถยนต์บริการให้เช่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7คน (รถเก๋ง) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม มีขนาดของแผ่นป้ายเท่าเดิม คือ กว้าง 15 ซ.ม. ยาว 34 ซ.ม. และมีตัวอักษร ขส อยู่ภายในวงกลม มุมล่างขวา โดยแบ่งเป็นสองบรรทัด

สำหรับตัวเลขและตัวอักษรจะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย  สำหรับป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลและจักรยานยนต์สาธารณะตามกฎหมายใหม่นี้จะแบ่งออกเป็นสามบรรทัด บรรทัดแรกเป็นตัวเลขด้านหน้าตัวอักษรประจำหมวดตัวที่หนึ่งและตัวอักษรประจำหมวดตัวที่สอง บรรทัดที่สองเป็นตัวอักษรแสดงจังหวัด บรรทัดที่สามเป็นหมายเลขทะเบียนไม่เกินสี่หลัก เป็นต้น  สำหรับประชาชนที่สนใจ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์  www.dlt.go.th หรือ สอบถามได้ที่สำนักมาตรฐานงานทะเบียนและภาษีรถ กรมการขนส่งทางบกหมายเลขโทรศัพท์ 0 2271 8708 หรือ 0 2271 8888 ต่อ 2408  อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวทิ้งทาย.
#1160
โดย ศูนย์ข่าวบ้านเรา www.Gimyong.com

วันที่ 24 ก.ย. 55 ที่บริเวณหน้าเทศบาลนครสงขลา นายจรัญ บิลพัฒน์  รองนายกเทศมนตรีนครสงขลา พร้อมด้วย นายสมเกียรติ กิมาคม รองนายกเทศมนตรีนครสงขลา นายทศ ฤทธิรงค์ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครสงขลา  นางจวงจันทร์ หิรัญสาลี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครสงขลา และ นายสุธน เทียบทอง เลขานุการนายกเทศมนตรีนครสงขลา ได้เดินทางมายื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งต่อ นายพีระ ตัณติเสรณี นายกเทศมนตรีนครสงขลา โดยให้มีผลทันทีตั้งแต่วันนี้ ที่ 24 กันยายน 2555 ท่ามกลางประชาชนและข้าราชการในเทศบาลนครสงขลามาให้กำลังใจและมอบดอกไม้ประมาณ 70 คน

นายจรัญ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ต้องลาออก เนื่องจากทนอยู่กับระบบการบริหารงานที่ล้มเหลวของ นายกฯ ไม่ได้ เพราะ นายกฯ ปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาจุ้นจ้านในการบริหารงาน ส่งผลให้ขวัญและกำลังใจของข้าราชการ พนักงานเทศบาล และ ลูกจ้าง แทบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว ทำให้ท้องถิ่นพลอยเสียโอกาสไปด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้มีรอง นายกฯ ได้ลาออกไปก่อนแล้วจำนวน 2 คน คือ นายสมชาย เมฆาอภิรักษ์ และ นายวิศาล เกียรติไพบูลย์

ขณะที่ นายสมเกียรติ ระบุว่า ความเป็นเพื่อนของตนกับ นายกฯ ยังคงมีอยู่ แต่จำใจต้องลาออก เพราะ ทนกับการบริงานที่ล้มเหลวของ นายกฯ ไม่ได้ ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันหลายครั้งถึงข้อบกพร่อง แต่ นายกฯ ไม่เคยยอมรับ และไม่คิดที่จะปรับปรุง หากมีโอกาสตนจะขึ้นเวทีบอกความจริงในเทศบาลให้หมด ตนต้องขอโทษประชาชนชาวสงขลาที่ต้องผิดคำสัญญา และมีเรื่องไม่เหมาะสมปรากฏขึ้น

รายงานข่าวจากทีมนครสงขลาพัฒนา ซึ่งเป็นทีมคู่แข่งทางการเมืองของทีมสงขลาใหม่ ที่ชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมื่อต้นปี 2555 เปิดเผยว่า พวกตนที่สมัคร สท. ทีมนครสงขลาพัฒนา ทั้ง 24 คน จะเดินทางไปร้องเรียน กกต.สงขลา และแจ้งความตำรวจให้ดำเนินคดีกับ นายพีระ ตัณติเศรณี นายก ทน.สงขลา ในวันที่ 26 ก.ย. 55 นี้ กรณีที่มีเอกสารจากที่ประชุมหัวหน้าส่วนเพื่อมอบนโยบายเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 55 ที่ห้องประชุมสภาฯ พร้อมบอกว่า ในการเลือกตั้ง สท. ที่ผ่านมา มีการใช้เงินซื้อเสียงวันเดียวนับล้านบาท จึงทำให้ สท. ได้รับการเลือกตั้ง 24 คน  ขอให้ กกต. สืบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด

ด้าน พ.ต.อ.มงคล บุญชุม อดีต ประธาน กกต.จ.สงขลา เปิดเผยว่า เมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งได้ตีพิมพ์ว่า นายก ทน.สงขลา ได้พูดในที่ประชุมมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการในตอนหนึ่งว่า มีการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง สท. จนผู้สมัครชนะทั้ง 24 คน ผู้ว่าฯ นายอำเภอ และ กกต. ต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงว่า นายกฯ พูดเท็จหรือจริง หากไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ว่าฯ นายอำเภอ และ กกต. มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
#1161
ที่มา:มติชนรายวัน 24 ก.ย.2555
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348465486&grpid=01&catid=&subcatid=

ข่าวคราวเกี่ยวกับวงการความสวยความงามนั้นมีออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ ส่วนมากจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของอันตรายที่เกิดจากความ (อยาก) สวยแทบ ทั้งสิ้น!

อย่างในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีพริตตี้สาว น.ส.อาทิตยา เอี่ยมใหญ่ หรือกระแต อายุ 33 ปี ถูกหามเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากเกิดอาการช็อกหมดสติ สมองขาดออกซิเจน หลังจากไปฉีดคอลลาเจนที่สะโพกกับคนที่อ้างว่าชื่อ "หมอป๊อป" ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว

ล่าสุด นายธนัช หรือหมอป๊อป ณัชวีระกุล อายุ 24 ปี เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ทางตำรวจแจ้งข้อหา ประกอบโรคศิลปะโดยไม่ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต และประกอบกิจการและดำเนินสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส

ส่วนข้อหาอื่นๆ นั้นต้องรอเอกสารผลวินิจฉัยจากแพทย์ว่า ผู้เสียหายช็อกหมดสติเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จึงจะเรียกนายธนัชมาแจ้งข้อหาเพิ่ม

เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่อยากเสริมสวยเป็นอย่างดีว่า ก่อนจะทำอะไรกับร่างกายของตัวเอง ควรจะตรวจสอบและเช็กให้ดีก่อนว่าสถานพยาบาลนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และต้องถามตัวเองก่อนว่าแน่ใจแล้วหรือที่ต้องยอมเจ็บตัว แถมเสียตังค์แพง เพื่อความสวยงาม

ลองมาสอบถามความเห็นจากเหล่าพริตตี้ ดูบ้างว่า พวกเธอคิดอย่างไรบ้าง

ศุภดา สายทุ้ม หรือ ส้มโอ พริตตี้ของค่ายรถยนต์มาสด้า บอกว่า เรื่องความสวยความงามรูปร่างหน้าตา เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพริตตี้ แต่เธอเองไม่ได้ซีเรียสเรื่องความสวยความงาม และไม่ได้ศัลยกรรม เพราะคิดว่า รูปร่างหน้าตาของตัวเองก็ดีพอสมควรอยู่แล้ว เรื่องศัลยกรรมนั้นเธอไม่ได้ต่อต้าน เพราะเพื่อนๆ หลายคนก็ทำ แต่หากจะไปทำ ศัลยกรรมจริงๆ ก็ขอให้เลือกโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัย

"การที่จะมาเป็นพริตตี้นั้นต้องมีหลายอย่างประกอบกัน ทั้งความสามารถ ความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่ามีแต่ความสวยอย่างเดียว" ส้มโอย้ำ และว่า เราต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ จะต้องสามารถตอบคำถามของลูกค้าให้ได้ในทุกเรื่อง แต่ยอมรับว่าหากเป็นการคัดเลือกพริตตี้เพื่อไปยืนในงานมอเตอร์โชว์นั้น จะมีการแข่งขันกันสูงมาก

สมมุติว่าในงานมอเตอร์โชว์ ค่ายรถแต่ละค่ายใช้พริตตี้ค่ายละ 6 คน ก็ต้องคัดเลือกจากพริตตี้ประมาณ 300 คน เหมือนกับการคัดเลือกประกวดนางงาม เธอเองเวลาจะเข้าไปสมัครก็ต้องดูตามสเปกของค่ายรถ หากเป็นค่ายรถของประเทศญี่ปุ่นก็จะคัดเลือกสาวรูปร่างเล็กๆ อย่างเธอเองก็อยู่ในสเปกของค่ายรถญี่ปุ่น เพราะสูงแค่ 160 เซนติเมตร สัดส่วน 32-20-35 ก็จะเหมาะกับรถคันเล็กๆ และที่เธอได้งานส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเพราะมีความจำดี ทำให้สามารถจำสคริปต์ได้ดี

ศุภดาบอกว่า เธอรับงานเองไม่ได้สังกัดโมเดลลิ่งที่ไหน ค่าตัวจะอยู่ตั้งแต่หลักพันถึงบางที 6 หลักก็มี โดยในบางวันก็จะวิ่งรอกงานต่างๆ อย่างเคยวิ่งรอกงานสูงสุด 4 งาน มีตั้งแต่งานแถลงข่าวของหน่วยงานต่างๆ ผลิตภัณฑ์ โครงการ เวลารับงานต้องคำนวณเรื่องระยะเวลาและระยะทางที่จะเดินทางไปทำงานด้วย งานบางส่วนก็จะมาจากเพื่อนๆ ในกลุ่ม หรือบางทีก็มาจากลูกค้าโดยตรง

ทางด้าน น.ส.ณัชชา แหมพิวัตน์ หรือ มาร์ อายุ 25 ปี จบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย การันตีตำแหน่ง อันดับ 3 สุดยอดพริตตี้เมืองไทย จากการจัดอันดับในรายการ 5 มหานิยม เล่าให้ฟังว่า งานพริตตี้รับได้หลายอย่างแบ่งออกเป็น 1.งานอีเวนต์ เช่น โชว์เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไอที เครื่องอุปโภคและบริโภค 2.งานฟุตบอล และ 3.งานแสดงรถ อาทิ มอเตอร์โชว์และมอเตอร์เอ็กซ์โป งานที่ได้รายได้ค่อนข้างสูงคือ การเป็นพริตตี้งานแสดงรถ หรือที่เรียกว่า ยืนรถ โดยตนได้รับรายได้รวม 36,000 บาทต่อ 12 วัน แต่พริตตี้ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ได้รายได้ 42,000 บาท หากได้เป็นพริตตี้ในงานแสดงรถก็ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะจะมีออร์แกไนเซอร์และลูกค้ามาดูตัวพริตตี้ในงานนี้กันเยอะ เป็นการต่อยอดให้ได้รับงานอื่นๆ ต่อไป

"ปกติงานแสดงรถจะคัดเลือกพริตตี้จาก 50-60 คน ให้เหลือเพียง 5-6 คน โดยคัดเลือก 2 วัน วันแรกออร์แกไนเซอร์จะนัดมาพูดคุย อีกวันลูกค้าหรือค่ายรถจะเข้ามาคัดเลือกอีกที แต่ละค่ายก็ต้องการพริตตี้ต่างกันไปให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ของค่ายรถ เช่น รถซุปเปอร์คาร์ก็ชอบพริตตี้ดูเปรี้ยวและเซ็กซี่ แต่ถ้าเป็นรถดูน่ารักก็จะอยากได้พริตตี้หน้าตาจิ้มลิ้ม โดยทั่วไปแล้วความสูงของพริตตี้ต้องเกิน 168 เซนติเมตร สัดส่วนประมาณ 34-25-36 เพราะต้องดึงดูดสายตา รูปร่างใส่แล้วเหมาะกับเสื้อผ้า ยืนดูสง่าโดดเด่นดึงลูกค้าเข้ามาในบูธ" น.ส.ณัชชากล่าว

ด้วยการแข่งขันที่ค่อนหน้าสูง พริตตี้แต่ละคนจึงต้องดูแลตัวเองและทำศัลยกรรมเพื่อเสริมความงาม น.ส.ณัชชาเล่าว่า ทำงานเป็นพริตตี้มาได้เกือบ 3 ปีแล้ว รับงานมาหลายอย่างทั้งงานเดินแบบ ถ่ายแบบ อาทิ งานแสดงรถ งานด้านไอที และงานเปิดตัวน้ำหอม จากที่เห็นพริตตี้ส่วนใหญ่มักจะทำศัลยกรรม โดยเฉพาะหน้าอกและจมูก นอกจากนั้น ก็จะมีการฉีดฟิลเลอร์เสริมจมูกให้ได้รูป ทำตาโตหรือตา 2 ชั้น โบท็อกซ์ลดกรามให้หน้าเรียวเล็ก เย็บปากเรียวให้บางเป็นรูปกระจับ และเสริมคางให้หน้าดูยาว จากนั้นจึงเสริมภายนอกด้วยการทาผิวหรือพอกผิวให้ดูขาวกระจ่าง รวมทั้งใช้เทคนิคการแต่งหน้า ใส่คอนแท็กต์เลนส์และติดขนตาปลอมช่วยให้หน้าดูคม มีมิติ

"ลองนึกภาพว่าช่างภาพ 30 คนที่ยืนรอถ่ายภาพอยู่หน้าเวที แล้วมีพริตตี้ 5-6 คนบนนั้น ก็ต้องคิดแล้วว่า ทำไมช่างภาพถ่ายคนนี้เยอะจัง เช่น คนนี้หน้าอกใหญ่ ก็อยากจะไปทำบ้าง หลังจากทำศัลยกรรมแล้ว งานก็เยอะขึ้นจริงๆ เมื่อรับงานเยอะขึ้นแล้ว บางงานก็ไม่ต้องแคสติ้งแล้ว เพราะลูกค้าจำได้ก็จะบอกออร์แกไนเซอร์มาเลยว่า อยากได้พริตตี้คนนี้มาทำงาน" น.ส.ณัชชาเสริม และว่า อายุงานของพริตตี้ มีไม่นาน มากที่สุดก็ 30-35 ปี ทำให้แต่ละคน ยิ่งต้องทำงานให้มากที่สุดเพื่อเก็บเงินไปทำอาชีพอื่น

"เด็กใหม่ๆ เข้ามาในวงการเยอะขึ้น ทุกวันนี้อายุ 17-18 ปี ก็มาเป็นพริตตี้กันแล้ว เมื่อเด็กใหม่มา รุ่นพี่คนอื่นๆ ก็ตกรุ่นกันไป" น.ส.ณัชชาทิ้งท้าย

สำหรับ น.ส.เปรมวดี หิรัญสูตร์ หรือต๊อกแต๊ก อายุ 27 ปี สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เล่าว่า เริ่มทำอาชีพพริตตี้ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี โดยรับงานพรีเซ็นต์รถยนต์เป็นหลัก แต่ผลงานที่มีคนรู้จักมากขึ้นคือ การเป็นโตโยต้าพริตตี้ ปี 2009

"ปีที่แล้วเป็นช่วงที่รับงานเยอะมาก วันเสาร์และวันอาทิตย์ไม่เคยว่าง มีรายได้เฉลี่ย ต่อวัน 3,500-4,000 บาท ทั้งปีถ้ารับงานพริตตี้ อย่างเดียวรายได้จะเป็นหลักแสน แต่ถ้ารับงาน โฆษณาหรือเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้ารายได้ก็สูง ถึงหลักล้าน"

เห็นได้ว่าพริตตี้เป็นอาชีพที่รายได้งาม ทำให้เด็กจบใหม่ที่ยังหางานไม่ได้เลือกจะเดินเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น น.ส.เปรมวดี ยอมรับว่าทุกวันนี้วงการพริตตี้แข่งขันกันสูง

"เด็กใหม่ๆ เข้ามา ทั้งสวยกว่าและเด็กกว่า และยังไม่ต่อรองราคา ทำให้ลูกค้าบางคนเลือกเด็กใหม่มากกว่า ส่วนคนที่ทำงานมานานจะไม่รับงานที่รายได้ต่ำกว่าที่เคยได้ เพราะกลัวจะเสียเรต ถ้าเทียบว่าเมื่อหลายปีก่อน 1 งาน จะมีคนเข้ามาแคสติ้งประมาณ 10 คน ทุกคนรู้จักกันหมด แต่ตอนนี้มีคนเข้ามาให้คัดเลือกเยอะมากๆ ด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์กและอินเตอร์เน็ตใช้ในการกระจายข่าวสาร"

เมื่อมีเด็กหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ก็ไม่แปลกที่หลายคนต้องพึ่งพามีดหมอ การศัลยกรรมจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา เธอยอมรับว่า อาชีพนี้ต้องใช้ความสวยดึงดูดคนให้สนใจในสินค้า ยิ่งเห็นเพื่อนอาชีพเดียวกันทำแล้วสวยและไม่เป็นอันตรายก็ต้องอยากไปทำบ้าง

"ผู้หญิงทุกคนอยากสวย และพริตตี้ก็เป็นอาชีพที่ต้องสวย ดารา คนทั่วไปก็ทำศัลยกรรมเหมือนกัน"

ส่วนคุณสมบัติหลักๆ ที่พริตตี้จำเป็นต้องมี อันดับแรกต้อง "ขาว" สัดส่วนและความสูง สำคัญเป็นลำดับรองลงมา จากนั้นก็เป็นเรื่องของความสามารถในการพรีเซ็นต์สินค้า

พริตตี้รุ่นพี่ฝากไว้ว่า เมื่อทำงานต้องคิดว่าลูกค้าต้องการให้งานออกมาอย่างไร ต้องมีความขยันและมีความสามารถในการนำเสนอสินค้าได้ ถ้าสวยมากแล้วทำงานออกมาไม่ดี ต่อให้สวยแค่ไหนลูกค้าก็ไม่เอา

เป็นเสียงสะท้อนจากเหล่าพริตตี้ถึงสาเหตุที่ยอมเจ็บตัว เสียตังค์ เพื่อเข้ามาสู่อาชีพที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน แม้ว่าบางครั้งอาจจะต้องเสี่ยงถึงชีวิตก็ตาม


(จากซ้าย) ณัชชา แหมพิวัฒน์, เปรมวดี หิรัญสูตร์, ศุภดา สายทุ้ม
#1162
โดย เดลินิวส์ออนไลน์

นางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร และคณะกรรมการมรดกโลก เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ส่งชื่อวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อเสนอไปที่ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกพิจารณาเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative Lists) เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในอนาคตนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ศูนย์มรดกโลกได้ประกาศชื่อวัดพระมหาธาตุฯ จ.นครศรีธรรมราชเข้าสู่บัญชีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  โดยขั้นตอนต่อจากนี้คณะกรรมการของจังหวัดจะต้องจัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เรียกนอมิเนชั่น (Nommination dosier) คุณสมบัติต่างๆ ของความโดดเด่นวัดพระมหาธาตุฯ ให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ส่งไปยังศูนย์ฯ ดังกล่าวเข้าไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายการพิจารณา ซึ่งจะต้องใช้เวลา 1 ปีครึ่ง จากนั้นจะบรรจุเข้าการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 38 หรือสมัยที่ 39 ระหว่างปี  2557-2558 เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก


นางโสมสุดา กล่าวต่อไปว่า วัดพระมหาธาตุฯ เข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อของทั้งหมด 10 ข้อตามคุณสมบัติจะเป็นมรดกโลก ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อ 1 เป็นตัวแทนผลงานของการสร้างจากอัจฉริยะของมนุษย์ แสดงถึงการออกแบบอาคารและการออกแบบแผนผังของสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา โดยพระบรมธาตุเจดีย์ฯ องค์นี้มีสถูปทรงกลมขนาดใหญ่มีต้นแบบมาจากสถูปในศิลปะลังกา และปลียอดทรงดอกบัวตูมที่ประดับด้วยลูกปัดแก้ว ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสุโขทัย จึงเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมชิ้นเลิศที่สร้างจากอัจฉริยภาพของศิลปิน


อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า หลักเกณฑ์ข้อ 2 แสดงถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคุณค่าของมนุษย์ตามกาลเวลา หรือในวัฒนธรรมด้านใดด้านหนึ่งของโลก ในการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรม หรือทางเทคโนโลยีศิลปสถาปัตยกรรมโบราณ การออกแบบผังเมือง หรือการออกแบบภูมิทัศน์ โดยพระบรมธาตุเจดีย์ฯ แสดงถึงการสืบทอดคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา พัฒนาการสถาปัตยกรรม การก่อสร้าง และแผนผัง ที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะของคาบสมุทรไทยตอนบนกับศิลปะลังกา นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่รับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทจากศรีลังกา และเผยแผ่ไปยังอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรศรีวิชัย ที่ปรากฏเจดีย์ทรงระฆังในอาณาจักรเหล่านี้


?หลักเกณฑ์ข้อ 6 มีความสัมพันธ์โดยตรงหรือเห็นได้ชัดเจนกับเหตุการณ์ หรือประเพณีที่ยังคงอยู่ หรือความคิด หรือความเชื่อ งานศิลปกรรม และวรรณกรรม ที่มีความสำคัญโดดเด่นเป็นสากล ประเพณีพิธีกรรมประจำปีที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมธาตุองค์นี้ คือ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ มีความสัมพันธ์กับพุทธศาสนิกชนในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก ในฐานะสัญลักษณ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมหาศาลเดินทางเข้ามาร่วมพิธีกรรมปีละหลายครั้ง? นางโสมสุดา กล่าว
#1163
โดย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กยังคงเป็นประเด็นที่แวดวงการศึกษาไทยหาทางออกว่า จะทำอย่างไรให้โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยปี 2554 มีโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็น 14,638 แห่ง จากปี 2553 ที่มีอยู่ 14,056 แห่ง โดยมีสาเหตุจากอัตราการเกิดของประชากรค่อนข้างคงที่ และคนชนบทเคลื่อนย้ายไปอยู่ในเมือง

จากปัญหาดังกล่าว "แก่งจันทร์โมเดล" จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กใน ต.หาดคัมภีร์ อ.ปากชม จ.เลย ด้วยความหวังว่าอาจเป็นทางเลือก-ทางรอดสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ

ควบรวมเพื่อคุณภาพ

แก่งจันทร์โมเดลเป็นเครือข่ายของโรงเรียน ร.ร.บ้านปากมั่งห้วยทับช้าง, ร.ร.บ้านนาโม้, ร.ร.บ้านคกเว้า และ ร.ร.บ้านหาดคัมภีร์ เดิมโรงเรียนเหล่านี้มีปัญหาครูไม่ครบชั้น และมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เห็นได้จากคะแนนโอเน็ตโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ

"สุเทพ บุญเติม" ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 บอกว่า เมื่อ 4 โรงเรียนรวมตัวกัน ทำให้มีครูทั้งหมด 16 คน และนักเรียน 247 คน เห็นได้ว่าอัตราส่วนครูผู้สอนต่อนักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยแต่ละโรงเรียนจะมีครูสอนเพียง 4 คน ตรงนี้เป็นผลดีต่อการดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การบริหารงานดำเนินการร่วมกันทุกเรื่อง ทั้งหลักสูตรการสอน กิจกรรมพัฒนานักเรียน เป็นต้น

ทั้งนี้ การเรียนการสอนจะจัดแบบรวมเรียนตั้งแต่อนุบาล 1 ถึงชั้น ป.6 แบ่งตามความโดดเด่นทางวิชาการของโรงเรียน โดย ร.ร.บ้านนาโม้สอนชั้นอนุบาล 1 กับ ป.1, ร.ร.บ้านปากมั่งห้วยทับช้างสอนชั้นอนุบาล 2 กับ ป.2, ร.ร.บ้านคกเว้าสอนชั้น ป.3-4 และ ร.ร.บ้านหาดคัมภีร์ สอน ป.5-6 ซึ่งแต่ละโรงเรียนอยู่ห่างกัน 3-5 กม. จึงมีการจัดรถยนต์รับส่งนักเรียนทั้งขาไปและกลับ ในส่วนของค่าน้ำมันรถและค่าซ่อมบำรุงให้ทางโรงเรียนเบิกจ่ายกับ อบต.หาดคัมภีร์

"การรวมตัวกันทำให้สามารถจัดสรรครูตามชั้นเรียนได้เพียงพอ รวมถึงมีการบูรณาการการใช้สถานที่และสื่อวัสดุอุปกรณ์ และอนาคตอาจตั้งกองทุนพัฒนาการศึกษาชาติ โดยระดมทุนจากชุมชนและผู้ปกครองมาช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ"

พบคะแนนโอเน็ตพุ่ง

"จิตราวดี พานิช" อาจารย์ชั้น ป.6 ร.ร.บ้านห้วยคัมภีร์ เล่าว่า เมื่อนักเรียนจากต่างที่มาเรียนร่วมกันก็เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์บ้าง อย่างไรก็ดี จะมีเทคนิคการสอนให้เด็กอยู่คละกลุ่มและทำงานด้วยกัน เพื่อให้สามารถเรียนร่วมกันได้

"เรามีกระบวนการรู้จักเด็กด้วยการสอบถามจากผู้ปกครองและอาจารย์โรงเรียนเดิมมาจัดทำเป็นข้อมูลเบื้องต้นว่าเด็กเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่านักเรียนมีพื้นฐานความรู้แตกต่างกัน

ดังนั้น แผนการสอนจะมีหลายรูปแบบ เด็กที่เคยเรียนหรือเข้าใจเนื้อหาแล้วจะมีแบบฝึกหัดให้เขาตลอดเวลาเพื่อจะได้ไม่เบื่อ ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการช้าก็จะสอนเสริมให้"

นอกจากนี้ หลังจากรวมเป็นเครือข่ายแก่งจันทร์พบว่า คะแนนโอเน็ตโดยภาพรวมของปีการศึกษา 2554 มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างวิชาคณิตศาสตร์ได้ 53.92 คะแนนเพิ่มจากปี 2553 ที่ได้ 26.51 คะแนน หรือวิชาภาษาอังกฤษได้ 41.47 คะแนน เพิ่มจากปี 2553 ที่ได้ 13.91 คะแนน

ชี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ

ถึงแม้ว่าแก่งจันทร์โมเดลจะได้รับการยอมรับจากโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 6 พันแห่งที่ประสงค์เจริญรอยตาม แต่บางโรงเรียนก็ไม่สามารถทำได้ด้วยข้อติดขัดบางประการ ซึ่ง "ดร.พิษณุ ตุลสุข" รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนขนาดเล็กจะรวมกันเป็น 2 พันศูนย์ โดยส่วนกลางต้องสนับสนุนงบประมาณด้านการเดินทางหรือพาหนะ และการประกันชีวิตเด็ก

อย่างไรก็ดี ไม่ได้ละความพยายามในการคิดค้นโมเดลใหม่ ๆ ขึ้น อย่าง "ลาดค่างโมเดล" ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ที่ต่อยอดจากแก่งจันทร์โมเดล โดยให้ครูเชี่ยวชาญเฉพาะวิชามาสอน ทำให้เด็กมีทักษะและการเรียนรู้ได้ดีกว่าจากเดิมที่ครูคนเดียวสอนหลายวิชา ซึ่งธรรมชาติของแต่ละวิชาแตกต่างกัน

"เราพยายามบอกว่า แก่งจันทร์โมเดลไม่ใช่สูตรสำเร็จการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะแต่ละแห่งมีความแตกต่างด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิศาสตร์ บริบททางสังคม หรือแม้แต่ผู้นำชุมชน" ดร.พิษณุกล่าว
#1164
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1348203930&grpid=00&catid=11&subcatid=1100


คอลัมน์ จับกระแสตลาด

เรียกว่าแข่งกันทุกเรื่องสำหรับ 2 ยักษ์ ระหว่าง "โออิชิ" กับ "อิชิตัน"

รายแรกเป็นผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มกว่าหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน รายหลังก็เป็นอดีตแชมป์ผู้มีประสบการณ์ในการทำตลาดชาเขียวมาอย่างยาวนาน

จากพันธมิตรเปลี่ยนมาเป็นคู่แข่งสมรภูมิรบครั้งนี้จึงเป็นเรื่องของ "ศักดิ์ศรี" ที่ยอมกันไม่ได้

ไม่แปลกที่เราจะเห็นภาพการ "รบพุ่ง" กันทุกสนามของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ, แพ็กเกจจิ้ง, ราคา, ไซซิ่ง, โฆษณา, การสร้างข่าว สร้างกระแส, เวิร์ดดิ้งที่นำมาใช้ โดยเฉพาะเรื่องแคมเปญโปรโมชั่นที่ไม่ยอมน้อยหน้ากัน

ล่าสุด "อิชิตัน" จัดแถลงข่าว

"อิชิตัน ลุ้นรหัสรวยเปรี้ยง 60 วัน 60 ล้าน" บิ๊กแคมเปญครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีอีกรอบ โดยคำที่อิชิตันหยิบยกมาใช้วันนี้คือ "ผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มจากใบชาออร์แกนิกส์"

ซึ่งอาจทิ่มแทงใจฝ่าย "โออิชิ" ไม่น้อย

แน่นอนว่าวันนี้ค่ายของ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มี "แมทธิว กิจโอธาน" เป็นหัวเรือใหญ่ ยังคงเป็นผู้นำตลาดประมาณ 55% แม้จะเป็นส่วนแบ่งที่มหาศาล แต่นัยสำคัญคือ เป็นตัวเลขที่เริ่มหดตัวลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่มี

"อิชิตัน" เข้ามาแชร์ตลาด เป็นสถานการณ์ที่วางใจไม่ได้ ณ ชั่วโมงนี้

"ตัน ภาสกรนที" กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า สาเหตุการทำแคมเปญครั้งนี้ เพราะช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้เต็มที่ด้วยกำลังการผลิตที่มีขณะนั้นไม่ถึง 50% จึงตัดสินใจทำบิ๊กแคมเปญอีกครั้งเพื่อกระตุ้นยอดขาย ตั้งเป้าเติบโต 15-20%

"เป็นครั้งแรกที่มีการทำบิ๊กแคมเปญ 2 รอบ ปกติจะมีแค่ช่วงซัมเมอร์เพราะปัญหาด้านกำลังการผลิต แต่เชื่อว่าปีต่อ ๆ ไปน่าจะเหลือแค่ช่วงหน้าร้อนอย่างเดียว จริง ๆ จุดยืนของเราไม่ต้องการขับเคลื่อนตลาดด้วยโปรโมชั่นเท่านั้น ต้องมีการสร้างแบรนด์ด้วย"

ครั้งนี้ "ตัน" ทุ่มงบฯถึง 120 ล้านบาท มากกว่าแคมเปญ "เที่ยวกับตัน มันส์กับโน้ต" ที่ใช้อยู่ที่ 80 ล้านบาท

ถือเป็นการ "เดิมพัน" ครั้งใหญ่ของ อิชิตันเช่นเดียวกัน เพื่อต้องการรุกคืบส่วนแบ่งตลาดให้ใกล้กับโออิชิมากขึ้น เมื่อจบสิ้นปีนี้จากครึ่งปีแรกอิชิตันมีส่วนแบ่งตลาดแล้วถึง 26% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเข้าตลาดเพียง 2 ปี

จริง ๆ แล้วตั้งแต่จบหน้าร้อน ทาง อิชิตันมีการทำแคมเปญโปรโมชั่นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ "อิชิตันลุ้นโชค ขับทั้งบ้าน หน้าบานรับทองปี 2" คนเดียวลุ้นรับรถไปเลย 4 คัน ที่ร่วมกับแม็คโคร ต่อด้วยการผนึกกับเอสเอฟฯ จัดแคมเปญ "1 ฝา ดูหนังฟรี 100,000 ใบ" และเพิ่งผ่านพ้นไปกับกิจกรรมลุ้นเที่ยวที่ "วิลล่า มาร็อก" ปราณบุรี เมื่อซื้อชาเขียวครบทุก 50 บาท

ด้านโออิชิก็ไม่น้อยหน้า หลังจบ "ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊ง" แล้วก็เปิดตัวแคมเปญ "ช็อป 99 ลุ้นรับแสน" ลุ้นรับรางวัลบัตรกำนัลแม็คโครรวมกว่า 500,000 บาท

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มตั้งข้อสังเกตว่า การทำโปรโมขั่นดังกล่าวอาจสะท้อนถึงปัญหา "โอเวอร์ซัพพลาย" ของชาเขียวในปีนี้ ซึ่งต่อเนื่องมาจากแคมเปญหน้าร้อนที่ทุกค่ายต่างจัดกิจกรรมชิงโชคอย่างยิ่งใหญ่ จากทุกปีที่มีแต่โออิชิรายเดียวก็มีอิชิตันเข้ามาแข่งด้วย ขณะที่กลุ่ม

ผู้บริโภคก็เท่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาซัพพลายมากกว่าดีมานด์ที่แท้จริง

"ช่วงซัมเมอร์ทั้งคู่ก็ตั้งเป้าสูง สั่งผลิตแบบเต็มที่ แม้ทั้งคู่จะไม่พร้อมเรื่องโรงงานที่โดนน้ำท่วมปีที่แล้ว แต่ทั้งอิชิตันและโออิชิก็มีการจ้างโออีเอ็ม ซึ่งรู้มาว่าขณะนี้ยังไม่มีออร์เดอร์ใหม่เข้ามา สะท้อนถึงสต๊อกสินค้าที่ยังมีอยู่ในตลาดอีกพอสมควร"

สอดคล้องกับปรากฏการณ์ "ขายพ่วง" ของไทยเบฟเวอเรจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่หันมาใช้กลยุทธ์ "ซื้อเหล้าพ่วงชาเขียว" จากสินค้าโออิชิที่ล้นสต๊อก

วันนี้ต้องถือว่าตลาดชาเขียวถูก "ขับเคลื่อน" ด้วยบิ๊กแคมเปญลุ้นโชค

ท่องเที่ยว แจกรถ แจกทองตลอดทั้งปี รวมไปถึง "สงครามราคา" ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ ซึ่งช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมากลายเป็นที่ฮือฮา เมื่อทั้งโออิชิและอิชิตันต่างแข่งกันชิงกระแสความเป็นผู้นำ

ฝั่งเสี่ยตันโพสต์ข้อความแจก "ไอโฟน 5" ขณะที่โออิชิโพสต์แจก "ซัมซุง กาแล็คซี่ S3" ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวดึงดูดแฟนเพจเข้ามากดไลก์และแชร์ได้หลายแสนคน

เป็นการห้ำหั่นกันทุกสนามแบบไม่มีใครยอมใคร

แต่ที่กลายเป็นบทเรียนให้กับทั้งคู่คือ จากนั้นไม่นานทั้งตันและโออิชิก็ต้องลบโพสต์กิจกรรมดังกล่าวออกจากหน้าเพจ ว่ากันว่าอาจเป็นเพราะทั้งคู่เกรงว่าจะผิดกฎของเฟซบุ๊กที่ไม่อนุญาตให้แบรนด์ทำโปรโมชั่นบนแฟนเพจ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นโดนปิดเพจได้

งานนี้จึงกลายเป็น "ดาบสองคม" จากการแข่งกันสร้างกระแส กลับกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก

แน่นอนว่าสงครามของทั้งคู่ยังมีอยู่ต่อไปอย่างไม่รู้จบ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้คือ สงครามชิง "มาร์เก็ตแชร์" ด้วยกลยุทธ์อัดสินค้าเข้าสู่ตลาดให้มากที่สุด

จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่เราจะเห็นโปรโมชั่น อย่างทะลักทลายอยู่ในขณะนี้
#1165
ผู้ว่าฯสงขลา รับมอบรถพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน เพื่อบริการ ช่วยเหลือ รับ -ส่ง ผู้ป่วย ผู้พิการ และผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง

วันนี้ (19 ก.ย. 55) ที่บริเวณประตูเมืองจำลอง ริมหาดสมิหลา  อ.เมืองสงขลา นายกฤษฎา บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายพีระ  ตันติเศรณี  นายกเทศมนตรีนครสงขลา   รับมอบรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจมาครบ 50 ปีในวันนี้  เพื่อแสดงความห่วงใยและมอบความปราถนาดีต่อพี่น้องชาวสงขลา บริษัทเชฟรอนฯ ได้มอบรถพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการรักษาพยาบาลเบื้องต้นในระหว่างที่นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล  โดย นายแอนโทนี่ เคนริค ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนงานปฏิบัติการของบริษัทเชฟรอนฯ เป็นผู้ส่งมอบรถพยาบาลฉุกเฉินในวันนี้

            นายกฤษฎา บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลา โดย เทศบาลนครสงขลา เป็นอีกหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนในด้านการรักษาพยาบาลเบื้องต้นและมีรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อใช้ในการช่วยเหลือ รับ ส่ง ผู้ป่วย ผู้พิการ และผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยจำนวนรถพยาบาลฉุกเฉินที่มีเพียง 1 คัน สำหนับภารกิจการให้บริการประชาชนถึง 120 คนต่อเดือน  จึงมีข้อจำกัดในการให้บริการได้อย่างทั่วถึง  จังหวัดสงขลาขอขอบคุณที่บริษัทเชฟรอนฯ ได้ดูแลคุณภาพการบริการทางการแพทย์ของพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลนครสงขลาและพื้นที่ในจังหวัดสงขลา ในการให้การรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที  จากนั้น  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายกเทศมนตรีนครสงขลา   ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนงานปฏิบัติการของบริษัทเชฟรอนฯ  คณะผู้บริหารเทศบาลนครสงขลา และพนักงานเชฟรอนฯ  ร่วมกันปลูกต้นไม้ ริมหาดสมิหลา และบริเวณบนเขาน้อย หลังพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในปลายปี 2553 ที่ผ่านมา
#1166
ที่มา สยามดารา 18 กันยายน 2555 2:33 น.   

มีกระแสข่าวออกมาหลายระลอกตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2555 ว่า ''ฝน ธนสุนทร'' จะไม่ต่อสัญญากับ ''ชัวร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์'' ค่ายเพลงลูกทุ่งชั้นนำ ที่รวมหัวจมท้ายรวมงานกันมายาวนานกว่า 18 ปี ล่าสุดนักร้องสาวเจ้าของฉายา ''เจ้าหญิง ลูกทุ่ง'' ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับอดีตค่ายเพลงต้นสังกัดจริง หลังจากสัญญาฉบับสุดท้ายหมดไปเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา

การตัดสินใจไม่ต่อสัญญา หลังจากมีผลงานเพลงอัลบั้ม ''แก้วตาดวงใจ'' ออกมาเป็นชุดสุดท้ายกับค่ายชัวร์ฯ เจ้าหญิงลูกทุ่งบอกว่า ไม่มีปัญหา หรือความบาดหมางใจใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการจากกันด้วยดี และตนก็ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในวงการเพลงบ้าง 

''อยู่ค่ายมา 18 ปี มีอัลบั้มออกมาเยอะ แต่ที่ไม่ต่อสัญญาเพราะว่าฝนอยากลองอะไรใหม่ๆ บ้าง จากกันด้วยดีฝนกับทางค่ายก็ไม่มีปัญหาอะไร หากเปรียบเทียบกันฝนก็เหมือนลูกสาวบ้านนี้นะ ซึ่งวันหนึ่งเติบโตก็ต้องก้าวออกจากบ้านเหมือนผู้หญิงที่แต่งงาน เขาไม่ได้ไม่รักพ่อไม่รักแม่ ไม่รักบ้านนะ แต่ก็ต้องจากไปดูโลกภายนอก ศึกษาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่มา 18 แล้ว เดี๋ยวชีวิตนี้ไม่คุ้มไม่ได้เจอโน่นนี่มากมาย''

สำหรับเป้าหมายเมื่อโบกมือลาชัวร์ฯ มาเป็นนักร้องอิสระ ฝนบอกว่า เป้าหมายในการทำงานยังเหมือนเดิมคือ ตั้งใจผลงานคุณภาพออกมามอบความสุขให้กับมิตรรักแฟนเพลง และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีเหมือนเช่นเดิมด้วย

''ก็อยากมีอิสระในทางความคิด ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ให้เสียชื่อ เรามาทำเอง เดินออกมาแล้วก็ทำให้ดีที่สุด เป้าหมายเหมือนเดิม คือทำงานคุณภาพออกมาให้แฟนเพลงฟัง ให้แฟนเพลงชื่นชอบในผลงาน ก็ยังหวังว่าแฟนเพลงก็จะให้การตอบรับ ให้ความอบอุ่นเหมือนเดิม''

กับการทำงานนับจากนี้ต่อไปที่ไม่มีค่ายเพลงคอยดูแล อาจมีปัญหาเกิดขึ้นมาบ้าง ฝนยืนยันว่าไม่กลัวกับความยากลำบากที่กำลังเชิญ เพราะได้สัมผัสมาแล้วตั้งแต่วัยเด็ก 

''ฝนไม่กลัวความลำบาก เพราะตอนเด็กฝนลำบากกว่านี้เยอะ ข้างหน้ามีความยากลำบากกองอยู่ ฝนก็ไม่คิดว่ามันคือความลำบาก แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้เราแข็งแกร่งในอนาคต ฝนพร้อมสู้กับมันนะ''

การทำงานในฐานะนักร้องอิสระวันนี้ ฝนเริ่มต้นกับการเลือกเพลงเพื่อสร้างสรรค์งานเพลงอัลบั้มใหม่แล้ว คอนเซปต์ยังเป็นเพลงลูกทุ่งเหมือนเดิม แต่อาจมีความแปลกใหม่ทางด้านดนตรี

''งานอัลบั้มใหม่กำลังหาเพลงอยู่ ได้มาส่วนหนึ่งแล้วยังไม่ครบ อาจมีออกเป็นซิงเกิลให้ฟังกันก่อน แนวเพลงก็เป็นลูกทุ่งเหมือนเดิม อาจมีความแปลกแหวกแนวด้านดนตรีเพิ่มไหม อันนี้กำลังรวบรวมความคิดอยู่ ที่คิดไว้อยากทำลูกทุ่งแท้ๆ ซักชุด และลูกทุ่งสมัยใหม่ซักชุด แต่เพลงหายาก แต่ที่แน่ๆ ทำลูกทุ่งแน่นอน แต่แนวจะยังไงแฟนๆ ต้องติดตาม คือภาษาดนตรีบางอย่างฝนก็ไม่รู้อะไรคือแนวไหน อยากให้แฟนๆ ลุ้นกันว่า จะชอบเหมือนที่ฝนชอบไหม''

กับการเป็นนักร้องที่ผ่านมา มีชัวร์ฯ คอยดูแลผลงานให้มาโดยตลอด วันนี้กลายเป็นนักร้องอิสระแล้ว ฝนยอมรับว่าต้องมีการปรับตัวในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านการตลาด ขายผลงานเพลงที่ผลิตออกมา ซึ่งเวลานี้ได้ไปขอคำปรึกษาจากบุคคลในวงการเพลงหลายคนแล้ว

''ช่องทางการจำหน่ายผลงาน ฝนกำลังตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง เพราะเรื่องค่ายก็มีการเสนอเข้ามาเยอะ อยู่ในช่วงศึกษาว่าเราควรตัดสินใจอย่างไรดี ให้มันตรงกับการตัดสินใจว่า เราออกมาเพราะต้องการเจอกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้กลับไปอยู่กับการทำงานในแบบเดิมๆ ตอนนี้ก็ใผู้ใหญ่ให้คำปรึกษาเรื่องการขาย การโปรโมตเหมือนกัน เราก็ไม่ถึงเคว้งค่ะ ก็ถือว่าเราจะได้ทำอะไรในสิ่งที่ต้องการทำจริงๆ จะได้เป็นผลงานของเรา เป็นประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง ฝนตั้งใจทำดีที่สุดแน่นอนค่ะ แต่จะตรงใจแฟนๆ ไหมอันนี้ต้องลุ้นค่ะ''

กับการก้าวออกจากจากค่ายชัวร์ฯ ฝนเชื่อว่าส่วนน่าจะมีความเข้าใจเธอ และมองข้ามเรื่องของบุญคุณต้องทดแทนไป เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 18 ปี เธอได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับค่ายเพลงที่ปลุกปั้นขึ้นมากหลายอย่าง

''18 ปีแล้วนะคะที่ฝนอยู่ ฝนไม่ได้ออกมาตั้งแต่ฝนกำลังดังเลย เรื่องนี้ฝนอยากให้มองข้ามไปฝนไม่ได้ดังปีสองปี แล้วออกมาเลย ฝนอยู่มานานทำอะไรกับชัวร์มาเยอะ ฝนเชื่อว่าคนคงไม่คิดอะไรเรื่องนี้  ฝนไม่ได้ดังจนกระทั่งมีคนมาซื้อตัวแย่งกันมันไม่ใช่นะคะ''

ท้ายที่สุดเจ้าหญิงลูกทุ่งได้ฝากถึงมิตรรักแฟนเพลงว่า แม้วันนี้เธอจะเป็นนักร้องอิสระไม่มีสังกัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังจะตั้งใจทำงานเพลงคุณภาพออกมามอบความสุขให้ทุกคนได้ฟังเหมือนเดิม และหวังว่าทุกคนยังคอยเป็นกำลังแรงใจให้การสนับสนุนผลงานด้วยดี

''ก็ขอบคุณแฟนเพลงที่รัก และห่วงฝน มีหลายคนถามว่าจะไปอยู่ไหน ถ้ายังรักและเป็นห่วงฝนก็สนับสนุนผลงานฝนเท่านั้นเอง ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ ให้ความเป็นห่วงด้วย ว่าเราจะทำอะไรต่อไป หวังว่าจะรักและเป็นห่วงฝนตลอดไป'' ฝนกล่าว

ก้าวใหม่ของ ''ฝน ธนสุนทร'' จะเป็นอย่างไรต่อไป? เชื่อว่าเวลานี้มีคนจับตามองอย่างแน่นอน!!

''ฝน ธนสุนทร'' มีชื่อจริงว่า เตือนใจ ศรีสุนทร เกิดเมื่อ 29 มิถุนายน 2517 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิกมากถึง 10 คน โดยพ่อถีบสามล้อ และแม่หาบของขาย เธอเป็นลูกคนโต และก็ได้ช่วยครอบครัวหารายได้ทุกทางที่พอจะทำได้ ระหว่างปี 2524-2529 เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนมุขมนตรี ช่วงปี 2531-2536 เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีจนจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ จากวิทยาลัยปทุมธานี

ฝนมีปู่เป็นผู้ฝึกฝนการร้องเพลงลูกทุ่ง เนื่องจากเคยเป็นนักร้องเชียร์รำวงเก่า เริ่มหารายได้จากการร้องเพลงตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 เมื่อมีผู้ที่ชื่นชอบหน้าตาที่สะสวยของเธอ เข้ามาจีบ โดยนำเรื่องการว่าจ้างให้เธอไปร้องเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง แต่เสียงของเธอก็เป็นที่ยอมรับของคนที่ได้ฟัง ทำให้เธอมีงานมาเรื่อยๆ

ช่วงเดียวกันนั้นเธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการประกวดมิสทีนโอเล่และได้ตำแหน่งมาครอง หลังจากนั้น จึงได้เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาลูกอม ''โอเล่'' ต่อมาสมัยเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอได้รับเชิญให้ไปบันทึกเทปเพลงที่จัดทำขึ้นเพื่อฉลอง 100 ปีจังหวัดอุดรของทางจังหวัด โดยเธอได้ร้อง 3 เพลง คือกราบเท้าพ่อหลวง, อุดรฯ มีของดี และเพลง 3 ส.โดยได้รับค่าเหนื่อยมา 500 บาท ซึ่งการทำงานในงานเพลงชุดนี้ ทำให้อาจารย์ปรีชา อรัญวารี นักจัดรายการวิทยุในสังกัดของบริษัท ชัวร์ออดิโอ (ชัวร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ในปัจจุบัน) ที่อุดรบ้านเกิด และได้ชักนำเธอเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว

ฝนได้เซ็นสัญญาณเป็นเวลา 4 ปี กับบริษัท เคลฟเวอร์เอนเตอร์เทนเม้นท์ บริษัทในเครือของชัวร์ออดิโอ ที่เน้นทำเพลงแนวสตริง เนื่องจากทางต้นสังกัดเห็นว่าหน้าตาของเธอเหมาะกับแนวเพลงแบบนี้มากกว่า โดยมีผลงานเพลงออกมาในแนวป็อป 2 ชุด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 คือ ''มุมหนึ่งของหัวใจ'' และ ''สายฝนแห่งความรัก'' แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

จากนั้นค่ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวมาให้เธอมาลองร้องเพลงลูกทุ่งตามแนวที่เธอถนัด โดยให้เริ่มร้องเพลงคู่กับมนต์สิทธิ์ คำสร้อย และเกษม คมสันต์ ในชุด ''เกี่ยวก้อย'' ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากขึ้น จนในที่สุดก็มีผลงานเดี่ยวออกมาในปี พ.ศ.2544 ชื่อ ''ฮักอ้ายโจงโปง'' ก่อนจะมาประสบความสำเร็จล้นหลามกับชุด ''ใจอ่อน'' ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเธอก็ผลิตผลงานลูกทุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องจนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่ได้รับความนิยมทำให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของวงการลูกทุ่ง

ก่อนตัดสินใจไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไป หลังจากสัญญาฉบับสุดท้ายสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 ก.ย.55 หยุดการเป็นนักร้องในสังกัดค่ายชัวร์ฯ ไว้ที่ 18 ปี
#1167
ทม.คอหงส์ ยกระดับสู่เมืองชั้นนำด้านไอที จัดโครงการพัฒนาอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง Khohong Free Wifi บริการประชาชนในเขตเทศบาล

(18 ก.ย.55) เทศบาลเมืองคอหงส์ จัดการแถลงข่าวโครงการพัฒนาอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง Khohong Free Wifi ขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างเทศบาลเมืองคอหงส์ โดยนายพยงค์ อรัญดร นายกเทศมนตรีเมือคอหงส์ และ บริษัท ทริปเปิ้ลที อินเตอร์เน็ต จำกัด โดยคุณก่อรัฐ วงศ์สว่างศิริ ผู้จัดการเขตหาดใหญ่ บริษัท ทริปเปิ้ลทีอินเทอร์เน็ต จำกัดโดยมีสื่อมวลชน และตัวแทนภาคประชาชน ร่วมเป็นเกียรติรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้

สำหรับคอหงส์ ฟรี ไว-ไฟ ได้ติดตั้งนำร่องไว้ในพื้นที่โดยรอบเทศบาลจำนวน 10 จุด ร่วมกับของ บริษัท ทริปเปิ้ลที อินเตอร์เน็ต จำกัด ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่จำนวน 197 จุด โดยเน้นในโซนชุมชนที่มีประชาชน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และ คนวัยทำงาน อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งไว-ไฟ แต่ละจุด จะสามารถส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปได้ไกลถึง 100 เมตร ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10 เมก และทุกคนที่อยู่ในรัศมีดังกล่าวสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ฟรีเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน โดยเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
     
โดยความร่วมมือดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นเวลา 3 ปี และหลังจากนั้นจะมีการประเมินอัตราการใช้งาน และความพึงพอใจของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากคนส่วนมากยังคงมีความต้องการ ทางเทศบาลเมืองคอหงส์ก็จะจัดสรรงบประมาณ เพื่อติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ ฟรี ไว-ไฟ เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมพื้นที่เขตเทศบาลทั้ง 34.57 ตารางกิโลเมตร และขยายเวลาการให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 20 นาที เป็น 1 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้น
#1168
ที่มา กิมหยงดอทคอม

จบลงแล้วสำหรับศึกเลือกตั้ง สจ.หรือ ส.อบจ.สงขลา 36 คนจาก 36 เขต ทีมสงขลาพัฒนาภายใต้การนำของนายกอบจ.คนปัจจุบัน นายกต้อย อุทิศ ชูช่วย ที่ส่งผู้สมัครถึง 33 เขตได้รับเลือกตั้งมา 24 เขต ขณะที่คู่แข่งอย่างทีมพลังสงขลา ที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่า นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.ประชาธิปัตย์ รองเลขาธิการพรรคสนับสนุน เลือกตั้งเที่ยวนี้ทีมพลังสงขลาส่งผู้สมัครลง 15 เขตได้มาเพียง 5 เขตขณะที่อีก 7 เขตเป็นของผู้สมัครอิสระ

โดยผลการเลือกตั้งทั้ง 36 เขตมีดังนี้ เมืองสงขลา 4 เขต ทีมสงขลาพัฒนากวาดเรียบประกอบด้วย เขต 1 นายวิชัย กุหลาบวรรณ, เขต 2 นายศิริชัย เอกพันธ์, เขต 3 นายนราเดช คำทัปน์ และเขต 4 นายอธิชิต ทิพย์มณี 

พื้นที่ไข่แดงอย่างอำเภอหาดใหญ่ 10 เขตเลือกตั้ง ทีมพลังสงขลาที่ส่งผู้สมัครทั้ง 10 เขต ได้มา 3 เขตประกอบด้วย เขต 1 นายนิยม พรรณราย, เขต 2 นายประสิทธิ์ ช่วยชูสกุล และเขต 3 นายจำลอง บุญวรรโณ และทีมสงขลาพัฒนาส่งครบทุกเขตเช่นกันและกวาดไป 6 เขตประกอบด้วย เขต 4 นายเจษฎาพร ชูแก้ว,เขต 5 นายณัฐวุฒิ ไชยชูลี,เขต 6 นายทวีศักดิ์ อรัญดร, เขต 7 ด.ต.สุรินทร์ ปานดำรงค์, เขต 8 นายอรุณ บุญรัศมี และเขต 10 นายสุคนธ์ เรืองกูล ส่วนเขต 9 ได้ผู้สมัครอิสระ นายรอซี หนิมุสา อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองควนลัง

ส่วนพื้นที่ที่ทีมสงขลาพัฒนากวาดยกอำเภอประกอบด้วย  อำเภอสะเดา ทั้ง 3 เขต ได้แก่ เขต 1 นายสายัญ สามทอง, เขต 2 นายสุรศักดิ์ สุวรรณรักษา และเขต 3 นายวัชรพล บริสุทธิ์กุล, อำเภอรัตภูมิ 2 เขต ได้แก่ เขต 1 นายญาณพงศ์ เพชรบูรณ์ เขต 2 นายอดุลย์ สงดวง ที่เหลือเป็นอำเภอละ 1 เขต ได้แก่ อำเภอบางกล่ำ นายบุญเจอ กัลยาศิริ,อำเภอควนนียง นายมิตร แก้วประดิษฐ์, อำเภอกระแสสินธ์ นายเปรม ทองเนื้อแข็ง,อำเภอสทิงพระ นายสุวัฒน์ นิยมเดชา, อำเภอคลองหอยโข่ง นายสาธิต สุวรรณชาตรี ,อำเภอนาทวี นายกุณฑล เสนะพันธุ์ และอำเภอนาหม่อม นายอาคม ประสมพงศ์

ส่วนพื้นที่ที่มีการแบ่งเค้กกันประกอบด้วย สิงหนคร มี 2 เขต เขต 1 นายฉัตรเพชร ครุอำโพธิ์ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 วิสิทธิ์ รุจิเรข ทีมสงขลาพัฒนา อำเภอระโนด 2 มี 2 เขต เขต 1 ว่าที่ร.ต.ไกรธนู แกล้วทนงค์ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 นายกระจายศักดิ์ ศรีสงค์  ผู้สมัครอิสระ อำเภอจะนะ  2 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายวสันต์ ชั่งหมาน ผู้สมัครอิสระ เขต 2 นายสุภาพ ทองเพชร ทีมสงขลาพัฒนา อำเภอเทพา มี 2 เขต เขต 1 นายวรพงศ์ ปราบ ทีมพลังสงขลา  เขต 2 นายศิริชัย หนิมา ผู้สมัครอิสระ อำเภอสะบ้าย้อย มี 2 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายฮาหรน โสะแสะ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 ด.ต.อนันต์ ชูเลขา ผู้สมัครอิสระ

เมื่อไปดูผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ทั้งจังหวัดสงขลามีกว่า 944,155 คน มาใช้สิทธิ์เพียง 537,101 คนหรือคิดเป็น 56.89% เท่านั้น เป็นบัตรดี 473,475 บัตร คิดเป็น 88.15% บัตรเสีย 19,774 บัตรคือเป็น 3.68% ขณะที่บัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนนมีกว่า 43,851 บัตรหรือคิดเป็น 8.16% เลยทีเดียว

การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องบอกว่าฝ่ายการจัดการเลือกตั้งล้มเหลวในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถ้ามองผ่านสื่อออนไลนืทั้งเว็บ อบจ.และกกต.สงขลา ไม่มีเว็บไหนมีข้อมูลผู้สมัครเลย ขณะที่คู่มือเลือกตั้งที่จัดส่งทางไปรษณีย์ก็ไร้ซึ่งข้อมูลผู้สมัครในแต่ละเขต มีเพียงการแนะนำการเลือกตั้งไม่มีข้อมูลผู้สมัครเลย

ขณะเดียวกันในการเลือกตั้งคราวนี้เป็นการเลือกเฉพาะ ส.อบจ.ในหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครเพียงคนเดียว บางเขตคู่แข่งไม่ได้คู่คี่สูสีเลยมีการแข่งขันมากมายไม่มีแรงจูงใจให้ชาวบ้านออกมาใช้สิทธิ์

เลือกตั้ง หากดูจำนวน สจ.เที่ยวนี้ 36 คนแบ่งเป็นทีมสงขลาพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตสจ.เก่า 24 คน อิสระ 7 พลังสงขลา 5 รวมกันได้ 12 หากเป็นเช่นนี้ในเบื้องต้น สจ.36 คนเป็นฝ่ายรัฐบาล 24 ฝ่ายค้าน 12 คะแนนแค่นี้ไม่อาจเป็นที่วางใจได้ว่าเก้าอี้นายก อบจ.ของอุทิศ จะไม่สั่นคลอน

ปีกว่าๆ กับเวลาในการทำหน้าที่นายกอบจ.สงขลา เชื่อว่าอุทิศ ต้องงัดผลงานมามัดใจชาวสงขลาให้เหนียวแน่นและส่งน้ำเลี้ยงให้ สจ.ในให้อยู่กับทีมต่อไป เพราะเมื่อถึงวันเลือกตั้งจริงหากไม่มีอะไรผิดพลาดคู่แข่งของอุทิศ ชูช่วย ก็คือ ส.ส.นิพนธ์ ชื่อของนิพนธ์ ขายในสนามท้องถิ่นได้อยู่แล้วและในวงการการเมืองรู้กันดีว่าสำหรับน้องๆ นักการเมืองรุ่นใหม่หลายคน นิพนธ์คนนี้พี่มีให้  เมื่อนิพนธ์ สวมเสื้อประชาธิปัตย์มาลงมีหรือที่ไม่มีใครอยากร่วมทีมด้วย

เที่ยวหน้าสนามนายกอจ.สงขลา ชาวสงขลาคอยติดตามสารพัดกลยุทธ์สารพัดนโยบายที่จะงัดมาสู้กันของ 2 เพื่อนรักอย่าง อุทิศ ชูช่วย VS นิพนธ์ บุญญามณี กันได้เลย   
#1170
ผู้ว่าฯสงขลา สั่งปรับแผนรักษาความปลอดภัยพื้นที่ 4 อำเภอ รอยต่อชายแดนภาคใต้ ขันน๊อตกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เดินหน้าทำงานเชิงรุก

[attach=1]

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์คนร้ายยิงประชาชนในพื้นที่บ้านปริก ม.8 ต.ลำไพล อ.เทพา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย บริเวณจุดรับซื้อน้ำยาง พร้อมนำรถกระบะ ทะเบียน บว-8864 สงขลา พร้อมสิ่งของมีค่าอื่น ๆ หลบหนีไปเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา จึงมีคำสั่งการอย่างเร่งด่วนในการให้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ 4 อำเภอรอยต่อซึ่งประกอบด้วย อ.จะนะ, นาทวี, เทพาและสะบ้าย้อย จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทำงานของฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถรอง รับสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้ง นี้เชื่อว่าการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่นั้น ในส่วนของผู้นำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในระดับท้องที่ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องประชาชนในพื้นที่ จากภัยการก่อเหตุรุนแรง ทั้งที่บุคลากรเหล่านี้นับได้ว่ามีบทบาทหน้าที่โดยตรง และรัฐบาลเองก็ได้จัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนมากให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สิ่งที่เน้นย้ำนับจากนี้ไป กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนจะต้องเร่งประสานการทำงาน ร่วมกับ ฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ ในพื้นที่อย่างเต็มที่เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในพ้นที่ของตนเองให้ได้ โดยจังหวัดจะจัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงไปเป็นพี่เลี้ยงในแต่ละท้องถิ่น หากมีปัญหาใด ๆ ในการทำงานให้รีบรายงานหน่วยเหนือทันที และหากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หย่อนยาน หรือบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อจะถือว่าผิดระเบียบวินัย และจะได้รับการลงโทษตามระเบียบต่อไป

ศูนย์ IOC สำนักประชาสัมพันธ์เขต 6 / ข่าว