Main Menu

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ www.SongkhlaMedia.com เรียนเชิญชาวสงขลาและทุกท่านร่วมขับเคลื่อนเว็บไซต์สาระที่มากกว่าข่าว ร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อสงขลาบ้านเรา

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - ฅนสองเล

#21
ลิวงค์ จุดเช็คอินแห่งใหม่ที่ได้สมญาว่าสวิตเซอร์แลนด์แดนจะนะ

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สถานที่ทางธรรมชาติคือมนต์เสน่ห์ที่หลายคนแสวงหา บ้านลิวงค์ หมู่บ้านเล็กในตำบลท่าหมอไทร อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา กำลังเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากผู้คนจำนวนมาก เพราะสถานที่แห่งนี้มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นเหมืองแร่เก่ามีน้ำเป็นสีเขียวคราม มีต้นสนอยู่รายรอบพร้อมมีภูเขาเป็นฉากหลัง สวยงาม เงียบสงบ ร่มรื่น และบรรยากาศดีมากๆ จนได้รับสมญาว่าสวิตเซอร์แลนด์แดนจะนะ

นายร่อเหตุ รักหมัด คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี และนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอจะนะ ให้ข้อมูลกับทีมงานว่า ลิวงค์ เป็นเหมืองแร่เก่าที่ถูกทิ้งไว้ และกลายเป็นธรรมชาติที่สวยงามรายล้อมด้วยต้นไม้ที่สีเขียวกับวิวภูเขาสวยๆ ที่จะสะท้อนลงบนพื้นน้ำ ให้อารมณ์คล้ายกับประเทศสวยๆ อย่างสวิตเซอร์แลนด์ จนได้รับขนามนามว่าสวิตเซอร์แลนด์แดนจะนะ ก่อนหน้านี้ที่นี่มีผู้คนมาออกกำลังกาย มาถ่ายรูปแต่งงานหรือมาเที่ยวชมบ้างประปราย

แต่เมื่อมีการแชร์ภาพข่าวกันในโซเชียลและสื่อต่างๆ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาท่องเที่ยวจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในพื้นที่ยีงมีความไม่พร้อมหลายอย่างเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเอกชนและท้องถิ่นผู้รับผิดชอบพื้นที่ก็ไม่มีนายกอบต.มาหลายปีแล้ว (มีปลัดปฏิบัติราชการแทน) ปัจจุบันเส้นทางเข้ามาสู่พื้นที่ได้รับงบประมาณในการสร้างถนนคอนกรีตเพื่อความสะดวกของชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาจทำให้ผู้สัญจรไม่ได้รับความสะดวกบ้าง ในอนาคตเชื่อว่าทางท้องถิ่นจะร่วมผลักดันให้ลวงค์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างอำเภอจะนะให้เป็นรู้จักมากยิ่งขึ้นด้วย 

พื้นที่รอบๆ เหมืองลิวงค์ เหมาะแก่การพักผ่อน มาถ่ายภาพเซลฟี่ ชมความงดงามของธรรมชาติ ชมเงาต้นสนตกในท้องน้ำสีเขียวคราม ในช่วงเช้าๆ อาจได้สัมผัสทะเลหมอก ช่วงเย็นๆ ชมพระอาทิตย์ตกดินกันได้ด้วย ที่สำคัญขอแนะนำว่าให้ท่านที่มาเที่ยวช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ลงไปเล่นน้ำเพราะลึกมากกว่า 50 เมตรอาจเกิดอันตรายได้ และไม่ควรเข้ามาก่อไฟหรือตั้งแคมป์ค้างคืนเพราะอาจเกิดอันตรายได้

สำหรับใครที่สนใจมาที่ลิวงค์ ในช่วงนี้ขอแนะนำว่าให้ชมภาพสวยๆจากเราไปก่อนเพราะตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป จะมีการปิดการให้คนภายนอกเข้าพื้นที่ชั่วคราวเนื่องจากมีงานก่อสร้างถนนคอนกรีตทำให้รถสัญจรไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องปิดจนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จส่วนสร็จเมื่อไหร่เราจะอัพเดทให้ได้ติดตามกันอีกรอบแน่นอน รอชมกันได้เลย


ที่อยู่ : บ้านลิวงค์ ตำบลท่าหมอไทร อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
พิกัด : https://goo.gl/maps/PTZXDeSXmcDYw9T69
#22
กาชาดสงขลาร่วมต้านโควิด-19 นำเงินสะสมซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นมอบให้ 15 รพ.

เหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา นำเงินสะสมกว่า 4.05 ล.จัดซื้อเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์มอบแก่สถานบริการสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ร่วมต้านโควิด -19 ยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้ป่วยในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

(28 พ.ค. 63)  ณ ห้องประชุมฑิฆัมพร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา นางกัญจนา เกลี้ยงเกลา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายนฤทธิ์ มงคลศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายวรณัฎฐ์ หนูรอต ปลัดจังหวัดสงขลา และนางฉลวย พงศ์สุวรรณ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา ร่วมบริจาคเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดสงขลา จำนวน 15 แห่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,052,300 บาท (เงินสี่ล้านห้าหมื่นสองพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยมีนายแพทย์อุทิศศักดิ์ หริรัตนกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยผู้อำนวยการ ผู้แทนโรงพยาบาลสงขลา โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลสะเดา โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี โรงพยาบาลจะนะ โรงพยาบาลนาหม่อม และโรงพยาบาลปาดังเบซาร์ ร่วมรับมอบ เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านการรรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ของจังหวัดสงขลาต่อไป

นางกัญจนา เกลี้ยงเกลา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ทางสภากาชาดไทย ได้ทำหนังสือแจ้งมายังนายกเหล่ากาชาดจังหวัดทุกจังหวัด โดยให้สามารถใช้งบประมาณประจำปี และหรือเงินสะสมเหล่ากาชาดจังหวัดไปสนับสนุนโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้นำมามอบให้ มีจำนวน 6 รายการ รวม 87 ชิ้น ประกอบด้วย

1.Mask P100 พร้อมไส้กรอง (แถมไส้กรอง) จำนวน 42 ชุด
2.เครื่องกรองเชื้อ COVID มี Hepafilter จำนวน 11 เครื่อง
3. Monitor เครื่องติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย COVID Cuff 5 จำนวน 5 เครื่อง
4.ชุดกล้องใส่ท่อช่วยหายใจผู้ป่วย COVID ในภาวะวิกฤต จำนวน 9 ชุด
5. Body Temp Scan วัดอุณหภูมิผู้ป่วยขนาดกลาง พร้อมขาตั้ง+ UPS จำนวน 15 ชุด
6. Bed 3 ไกด์ราวปีกนก พร้อมเสาน้ำเกลือ จำนวน 5 ชุด

นอกจากนี้ คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา ได้ร่วมบริจาค Mask P100 พร้อมไส้กรอง เพิ่มเติม จำนวน 28 ชิ้น อีกด้วย ซึ่งนับเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนในจังหวัดสงขลา ที่ทำให้จังหวัดของเราไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเหล่ากาชาดสงขลา ขอเน้นย้ำกับทุกท่านว่าอย่าประมาทการ์ดอย่าตก เพื่อดูแลตัวเองให้ห่างไกลโควิด-19 ไปด้วยกัน

ทางด้านนางศิรินุช สวาสดิ์ธรรม อดีตนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา และเป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุข กล่าวว่าการนำเงินสะสมของกาชาดมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของประชาชนถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์ของสภากาชาดไทย สิ่งของที่จัดซื้อมอบให้ในวันนี้เป็นสิ่งของที่จำเป็นและสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในช่วงโควิด-19 และช่วงภาวะปกติทั่วไปก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้   
#23
"เคร่ง สุวรรณวงศ์" อดีตนายกเทศมนตรี 28 ปี ผู้สร้างตำบลสู่นครหาดใหญ่

27 พฤษภาคม 2563 ชาวหาดใหญ่ได้ทราบข่าวและต่างร่วมแสดงความเสียใจกับการถึงแก่กรรมของนายเคร่ง สุวรรณวงศ์ อดีตนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ที่ครองตำแหน่งตั้งแต่ปี 2517-2545 รวมทั้งสิ้น 8 สมัย ระยะเวลาดำรงตำแหน่งกว่า 28 ปี และเขาเริ่มเป็นสมาชิกสภาเทศบาลหรือส.ท.มาตั้งแต่ปี 2500 นับเป็นนายกเทศมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานอันดับต้นๆ ของเมืองเมืองไทย

ประวัติส่วนตัว เคร่ง สุวรรณวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2472 ที่ ต.คอหงษ์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จบประถม 4 จาก ร.ร.ประชาบาลวัดคลองเรียน แล้วไปเรียนต่อ ร.ร.หาดใหญ่วิทยาลัย จนจบ ม.6 แล้วไม่ได้เรียนต่อ ช่วงวัยหนุ่มได้รับจ้างหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นเสมียนกำนันที่ ต.คอหงษ์ และทำธุรกิจส่วนตัวจนเติบใหญ่

กระทั่งปี 2500 ลงสมัคร ส.ท.หาดใหญ่ ได้รับเลือกตั้งและได้เป็นเทศมนตรีอยู่ในวาระ 5 ปี หลังจากนั้นไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การแต่งตั้งแต่เคร่ง ก็ยังติดกลุ่มได้เป็นเทศมนตรีอีกวาระหนึ่ง จากนั้นในสมัยที่สามก็มีการเลือกตั้งอีกครั้ง และได้เป็นเทศมนตรีอีก

ต่อมาปี 2517 ก็ขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีครั้งแรก และผูกขาดเป็นนายกเทศมนตรีหาดใหญ่มาตั้งแต่บัดนั้น ช่วงนับจากนั้นได้รับเลือกเป็นนายกสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย มาหลายสมัย จนเมื่อต้นปี 2545 ได้ลาออกเพื่อให้นายประสงค์ สุวรรณวงศ์ ลูกชายขึ้นมารับทอดตำแหน่งแทนก่อนถึงวาระเลือกตั้ง แต่เคร่ง ก็ยังให้คำปรึกษาและควบคุม ทีมเก่าที่บริหารและคุม ส.ท.อยู่เหมือนเดิม

จนมาถึงการเลือกตั้งในปี 2547 เป็นครั้งแรกที่มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรง และทีมเก่า ของนายประสงค์ สุวรรณวงศ์ พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับทีมหาดใหญ่โปร่งใส ที่มีนายไพร พัฒโน และพรรคประชาธิปัตย์เป็นกำลังหนุนสำคัญจนชนะการเลือกตั้ง และครองตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน (ตำแหน่งว่างเนื่องจากนายไพร ลาออกเมื่อ ก.พ.62 และยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่) ทำให้บทบาททางการเมืองของนายเคร่ง สุวรรณวงศ์ จึงค่อยๆ หายไปจากแวดวงการเมืองหาดใหญ่

อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาการเป็นายกเทศมนตรีเมืองหาดใหญ่ จนถึงการยกฐานะเป็นนครหาดใหญ่ เคร่ง สุวรรณวงศ์ ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพัฒนาเมืองหาดใหญ่ ให้เป็นเมืองทที่มีความศิวิไลซ์ ภายใต้คำขวัญที่ว่า ฟ้าสวย น้ำใส หาดใหญ่สะอาด ราษฎร์ปลอดภัย วันนี้แม้จะไม่มีบทบาทในตำแหน่งทางการเมือง แต่เคร่ง สุวรรณวงศ์ ยังคงได้รับฉายาว่า นายกตลอดกาลแห่งเมืองหาดใหญ่

อดีตนายกเคร่ง สุวรรณวงศ์ นับเป็นอีกหนึ่งบุคคที่มีคุณูปการต่อเมืองหาดใหญ่ มีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่นและพัฒนาหาดใหญ่อย่างยาวนาน เป็นผู้ริเริ่มขยายเขตเทศบาลเมืองหาดใหญ่จากเดิมที่มีเพียง 8 ตร.กม.มาเป็น 21 ตร.กม.ในปี 2520 และเป็นแนวเขตปัจจุบันของเทศบาล ในปี 2538 ผลักดันการยกฐานะจากเทศบาลเมืองเป็นเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นเทศบาลนครลำดับที่ 3 ของประเทศ และมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศด้วย

นายเคร่ง สุวรรณวงศ์ ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบด้วยโรคชราในวัย 91 ปี เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563
ขอร่วมแสดงความเสียใจกับการสูญเสียครั้งสำคัญของครอบครัวสุวรรณวงศ์ และเมืองหาดใหญ่ในครั้งนี่ด้วยครับ
#24
ปี่กลองการเมืองเงียบเหงาที่นครหาดใหญ่ คอการเมืองข้องใจจะมีใครลงสนามบ้าง

ถ้าไม่มีวิกฤตโควิด-19 ช่วงนี้ท้องถิ่นคงคึกคักกว่านี้เพราะเป็นการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งที่ห่างหายมายาวนานเกือบ 10 ปีหรือมากกว่าในบางท้องถิ่น เทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ปกติจะมีความคึกคักตลอดในช่วงก่อนจะถึงวันเลือกตั้งแต่เที่ยวนี้ถือว่าเงียบมากๆ

นายไพร พัฒโน อดีตนายก 3 สมัยที่ลาออกช่วงก่อนการเลือกตั้งสส.ต้นปีที่แล้วแต่ไม่ได้ลงประกาศกลับมาลงสนามนครหาดใหญ่อีกครั้งแน่นอน โดยเที่ยวนี้คาดว่าจะไม่ลงในนามทีมพรรคประชาธิปัตย์ แบบ 2 ครั้งที่ผ่านมา และคงมีแรงหนุนจากพรรคพลังประชารัฐ เพราะช่วงหลังเห็นเดินตามผู้การชาติ พันเอก สุชาติ จันทรโชติกุล ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.สงขลา ช่วงปลายปีที่ผ่านมาเห็นป้ายสวัสดีปีใหม่พร้อมโลโก้ทีมว่า ดร.ไพร พัฒโน ซึ่งชัดเจนว่าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ และสท.ปัจจุบันที่ร่วมทีมกันมายาวนานก็คงอยู่ด้วยทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม อดีตนายกไพร ก็ยังมีคดีทางการเมืองที่อาจทำให้ลงสมัครเลือกตั้งเที่ยวหน้าไม่ได้ ชื่อของพฤกษ์ พัฒโน น้องชายก็ถูกตั้งไว้แทนที่หากผู้พี่มีอุบัติเหตุ ระยะเวลา 3 สมัย 15 ปี(บวกว่างเว้นเลือกตั้งช่วงคสช.) กับการทำหน้าที่พ่อเมืองหาดใหญ่ ผลงานเป็นเช่นไรคงให้ชาวหาดใหญ่เป็นคนตอบ แต่ที่แน่ๆ ฐานเสียงจากชุมชนคือคะแนนเหนียวแน่นที่ทีมนายไพร มั่นใจว่าจะมีดีพอในการเอาชนะคู่แข่งได้โดยเฉพาะตอนนี้ที่ยังไม่เห็นว่ามีใครโดดเด่นหรือแข็งแกร่งเพียงพอที่จะมาต่อกรกับเขาเลย

คนที่เปิดตัวมาแล้วก่อนใครเพื่อนนาทีนี้มีแต่นายสมบูรณ์ พงศ์เลิศนภากร ที่เที่ยวก่อนในการเลือกตั้งปี 55 ได้ 1.6 หมื่นคะแนน ซึ่งห่างนายไพร ที่ได้กว่า 3 หมื่นเสียง แต่เที่ยวนี้ดูเหมือนว่าสมบูรณ์ จะมีแรงหนุนจากนายพงษ์ศักดิ์ จิโรภาส อดีตผู้สมัครนายก 2 สมัยที่ผ่านมามาเดินร่วมกันในช่วงวิกฤตโควิด-19 และคงลงทีมเดียวกันในนามทีมหาดใหญ่ร่วมใจ สมบูรณ์ เป็นเจ้าสัวผู้มั่งคั่งคนหนึ่งของหาดใหญ่ เจ้าของโรงแรมเเชี่ยนและกลุ่มธุรกิจกังส์แสง ร้านวัสดุก่อสร้างเจ้าดั้งเดิมของเมือง

สมบูรณ์ เคยร่วมทีมการเมืองเป็นรองนายกยุคไพร1 เที่ยวนี้หากตระกูลสุวรรณวงศ์ ของอดีตนายกเคร่ง และปลัดอ๋อย ประสงค์ สุวรรณวงศ์ ไม่ลงสนามแข่งด้วย สมบูรณ์ คงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งสุดของนายไพร ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า ในอายุเกินวัยเกษียณ แม้มีภาพเป็นคนใจบุญ มือสะอาด แต่ในทางการเมืองยังถือว่าไม่มีความโดดเด่นเพียงพอ ไม่มีวาทะเรียกแขกหรือสร้างการรู้จักในวงกว้างให้ชาวบ้านได้มากนัก คอการเมืองวิเคราะห์ว่าถ้าจะลงสนามให้ประสบความสำเร็จคงต้องปรับกลยุทธ์กันอีกพอสมควร ต้องเปิดตัวทีมงานช่วยหาเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ มีวาทกรรมในการสร้างชื่อทีมให้ชาวบ้านรู้จักและจดจำมากกว่านี้

แม้กระแสไม่ปลื้มผลงานนายไพร มีค่อนข้างเยอะแต่ต้องไม่ลืมว่าการเมืองท้อถิ่นนั้นคะแนนจัดตั้งหรือคะแนนแฟนพันธุ์แท้ กลุ่มฐานเสียงดั้งเดิมมีความสำคัญมาก เที่ยวล่าสุดผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเกินครึ่งมานิดเดียว นั่นสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนยังไม่ให้ความสำคัญกับการเมืองท้องถิ่นมากนักโดยเฉพาะกลุ่มประชากรใหม่ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่มาซื้อบ้าน มาทำงานแต่ไม่ใช่คนดั้งเดิม คะแนนเหล่านี้ยังไม่ถูกปลุกขึ้นมาให้เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง หากผู้สมัครคนไหนจุดกกระแสตรงนี้ได้ เปิดนโยบายที่เข้าตาชาวบ้านก็อาจนำมาสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญของนครหาดใหญ่ได้

เมื่อครั้งการลงเลือกตั้งครั้งแรกของนายไพร พัฒโน นายชวน หลีกภัย ขวัญใจชาวใต้มาช่วยหาเสียงพร้อมบอกกับชาวหาดใหญ่ว่า หาดใหญ่ไม่ใช่ของตระกูลสุวรรณวงศ์ 40 กว่าปีที่ผ่านมา หาดใหญ่มีนายกที่มาจากตระกูลสุวรรณวงศ์ เกือบ 30 ปีต่อด้วยตระกูลพัฒโน อีก 15 ปี การเลือกตั้งครั้งหน้านี้ที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ หาดใหญ่ จะมีจุดเปลี่ยนทางการเมืองเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ มากกว่า 1 แสนรายคือผู้ให้คำตอบ และในฐานะพลเมืองที่สัมผัสหาดใหญ่มายาวนาน อยากเห็นคนรุ่นใหม่เปิดตัว เปิดนโยบายมาลงสนามการเมืองให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะเป็นทางเลือกของชาวบ้านและเพื่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้ที่เรียกว่า "นครหาดใหญ่"   
#25
ตัวแทนชาวบ้านจาก 3 ตำบลในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ขอเปิดเวทีฟังเสียงชาวบ้านก้ว่าจะเดินหน้าหรือยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ มั่นใจเจ้าของพื้นที่ตัวจริงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการพัฒนา สร้างงานสร้างรายได้ในพื้นที่ ส่วนเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก็ขอทุกฝ่ายฟังแนวทางรัฐบาลก่อนตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวหรือไม่

(15 พ.ค.63) ณ ศาลากลางจังหวัดสงขลา ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่นาทับ ตลิ่งชัน และสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ประมาณ 30 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยมีนายรุ่งโรจน์ และสุบ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสงขลา เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียน และได้ชี้แจงทำความเข้าในกับชาวบ้านที่ยื่นหนังสือว่าพร้อมทำตามขั้นตอนในการจัดส่งหนังสือดังกล่าวผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาไปยังนายกรัฐมนตรี และจะมีการรายงานความคืบหน้าให้ผู้ร้องเรียนได้รับทราบเป็นระยะด้วย

นายจอม หวันห้อย ตัวแทนชาวบ้านที่มายื่นหนังสือในวันนี้ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีโครงการที่จะก่อสร้างโครงการนิคมอุตาหกรรมก้าวหน้าในพื้นที่อำเภอจะนะ และมีกำหนดการเปิดเวทีรับฟังความเห็นชาวบ้านในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ 3 ตำบล คือ นาทับ ตลิ่งชัน และสะกอม ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แต่มีกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยพยามยามคัดค้านไม่ให้เกิดเวทีดังกล่าว จนนำไปสู่การเลื่อนเปิดเวทีตามที่เป็นข่าวมาแล้วก่อนหน้านี้

"ทางกลุ่มตัวแทนชาวบ้านที่มาในวันนี้ เป็นคนในพื้นที่ เป็นชาวประมงพื้นบ้านตัวจริง เราอยากเห็นการพัฒนาในพื้นที่ อยากเห็นการมีส่วนร่วมของชาวบ้านที่แท้จริง จึงอยากให้มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นชาวบ้านก่อน แล้วค่อยมีการตัดสินใจว่าจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว โดยให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะชาวบ้านที่เป็นเจ้าของพื้นที่ตัวจริงได้มีโอกาสรับฟังและแสดงความคิดเห็นบ้าง" 

ทั้งนี้ สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบาย "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคัง ยั่งยืน" ซึ่งในส่วนของ อ.จะนะ เป็นเมืองต้นแบบที่ 4 เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต โดยได้มีการกำหนดด้านผังเมือง ในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ นาทับ ตลิ่งชัน และสะกอม ด้านโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ ในโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลา ด้านโครงข่ายการขนส่งทางบก มีแผนแม่บทจราจรเชื่อมทางหลวง ทางหลวงชนบท ถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และด้านพลังงาน ทั้งในส่วนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ/ชีวมวล/แสงอาทิตย์/ลม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นเมืองต้นแบบที่ 4

โดยภาพรวมโครงการ มีเนื้อที่ 16,753 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 18,680 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 1 แสนอัตรา มีกิจกรรม 6 ประเภท 1.พื้นที่เขตอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมเบา จำนวน 4,253 ไร่ 2.พื้นที่อุตสาหกรรมหนัก จำนวน 4,000 ไร่ 3.พื้นที่เขตอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า จำนวน 4,000 ไร่ จำนวน4 โรง กำลังผลิตรวม 3,700 เมกะวัตต์ 4.พื้นที่เขตอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับกิจกรรมหลังท่าเรือ จำนวน 2,000 ไร่ 5.พื้นที่เขตอุตสาหกรรมศูนย์รวมและกระจายสินค้า จำนวน 2,000 ไร่ และ 6.พื้นที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จและแหล่งที่พักอาศัย จำนวน 500 ไร่ และมีแผนจะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2563
#26
บ่อเจ็ดลูก ชื่อนี้มีตำนาน ณ หมู่บ้านมีมนต์เสน่ห์ชายเลอันดามัน สตูล

บ้านบ่อเจ็ดลูก ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับทะเลอันดามัน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์และมีมนต์เสน่ห์อย่างยิ่ง วันนี้เราขอนำไปรีวิวและเปิดตำนานบ้านบ่อเจ็ดลูก 

บ่อเจ็ดลูก หรือที่ภาษามาลายูเรียกว่า "ลากาตูโยะ" มีตำนานเล่าสืบเนื่องกันมาว่า บุคคลกลุ่มแรกที่เข้าไปอาศัยอยู่เป็นพวกชาวเลหรือชาวน้ำที่อพยพมาจากเกาะซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่งออกไป ขณะที่อพยพมาอยู่นั้น พวกเขาได้ขุดบ่อน้ำเพื่อใช้เป็นน้ำดื่มน้ำใช้ แต่ปรากฏว่าไม่มีน้ำออกมาเลย พวกเขาพยายามขุดบ่อแล้วบ่อเล่าก็ไม่มีน้ำใช้ จนกระทั่งถึงบ่อที่เจ็ดจึงมีน้ำออกมา ปัจจุบันบ่อทั้งเจ็ดลูกยังมีปรากฏให้เห็น จนทุกวันนี้ หมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า "บ้านบ่อเจ็ดลูก" นี่คือตำนานที่ถูกกล่าวขานมาที่สุด แต่เมื่อย้อนดูประวัติเพิ่มเติม พบว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง

ประวัติบ่อเจ็ดลูก มีประวัติกล่าวขานว่าในอดีตอันยาวนานยังมีชาวเลตีนแดงเผ่ามอแกนซึ่งอาศัยไม่ค่อยเป็นหลักแหล่งได้เดินทางมา ณ ที่เกาะหนึ่งซึ่งเป็นเกาะเล็กๆอยู่ทางตอนใต้ของทะเลอันดามัน และได้เดินหาน้ำดื่ม จึงเกิดเป็นตำนานเจ็ดบ่อขึ้นมา แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่านั้นบอกว่ามีสามตำนานด้วยกันที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดและเรื่องใดไม่เป็นความจริง

ชาวเลเมื่อเดินหาน้ำดื่มจนมาพบบ่อน้ำผุดมาจากใต้ดินจำนวน 7 บ่อด้วยกัน บ่อแรกใหญ่หน่อยเรียกกันว่าบ่อพ่อ ที่เหลือก็เป็นบ่อแม่และบ่อลูก ขนาดลดหลั่นกันไป เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของเรื่องกล่าวอะไรไว้ก็ได้ดังใจ มีการร้องรำทำเพลงบ้าง นำไก่ขาวมาเชือดบ้างเพื่อแก้บน

อีกนัยหนึ่งก็ว่าเมื่อชาวเลต้องการน้ำก็ได้ทำการขุดบ่อน้ำขึ้นมา 1 บ่อ ใช้มาตลอดจนกระทั่งมีลูกมาปรึกษาหารือจนมีข้อสรุปว่าแต่ละคนขุดบ่อมาคนละบ่อ ขุดใกล้ๆกับพ่อนี่แหละ จาก 1 บ่อ ก็เป็น 7 บ่อ

ยังมีอีกตำนานที่บอกว่าชาวเลเมื่อได้ร้อนแรมมาพักที่เกาะแห่งนี้ก็ได้ตั้งรกรากที่นี่ และขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ บ่อแรกก็ขุดพบว่าน้ำเค็มใช้ไม่ก็ขุดต่ออีกก็เค็มอีก จนขุดถึงบ่อที่ 7 ปรากฏว่าน้ำจืด จึงได้ใช้กันเรื่อยมา

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมีชายคนหนึ่งเดิมเป็นคนในพื้นที่บ้านตะโละใส่ชื่อว่านายอับดุลรอหมาน ปากบารา มีอาชีพทำการค้ากับรัฐปีนังสินค้าก็จะมี แป้ง สบู่ น้ำตาล ได้เข้ามาอาศัยที่แห่งนี้ ด้วยเป็นคนที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามก็เป็นผู้บุกเบิกสร้างมัสยิดขึ้นมาและได้สอนให้กับชาวเลที่อาศัยอยู่ก่อนด้วย และดูแลความสงบของที่นี่ อยู่มาระยะหนึ่งก็ได้ชักชวนเครือญาติมาอยู่ด้วยคนที่เพิ่มขึ้นทำในชาวเลต้องอพยพจากเกาะแห่งนี้หาที่อยู่อาศัยใหม่เพราะพวกเขาไม่ชอบที่มีคนเยอะๆ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 นายอับดุลรอหมาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุน(เทียบกับปัจจุบันคือกำนัน)และได้รับพระราชทานนามสกุล เป็น ขุนบารา บุรีรักษ์ ท่านได้ขึ้นปกครองที่นี่ และได้เรียกสถานที่แห่งนี้ตามสัญลักษณ์ ว่าตาลากาตูโหย๊ะ ซึ่งเป็นภาษามาลายู (ตาลากา แปลกว่า บ่อ / ตูโหย๊ะ แปลกว่า 7 แปลรวมกันว่า บ่อเจ็ดลูก) ไปขึ้นกับการราชการเพื่อเป็นชื่อเรียกหมู่บ้าน แต่ชื่อเรียกยากจึงเปลี่ยนเป็นชื่อภาษาไทยว่า บ้านบ่อเจ็ดลูก มาจนถึงปัจจุบัน

ขุนบารา บุรีรักษ์ มีลูกสาวทั้งหมด 4 คน ไม่มีทายาทผู้สืบสกุล ทำให้นามสกุลบุรีรักษ์ขาดหายไป ปัจจุบันยังมีลูกสาวอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และอาศัยในบ้านบ่อเจ็ดลูก คือคนที่ 4 มีชื่อว่านางไซหนุน ถิ่นกาแบง (ที่มา www.thailandtourismdirectory.go.th)

บ้านบ่อเจ็ดลูก เป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวธรณีวิทยาสตูล เรียกว่าเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีโอกาสอยากให้มาเยือนสตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์

ขอบคุณเพื่อนคู่ใจคันเล็กแต่ลุยได้ทุกเส้นทาง มิตซูบิชิ มิราจ โดย จ.วินิต เข้าใจรถ เข้าใจคุณ 
ต้อม รัตภูมิ รายงาน  TLP 0897384215 
#27
นายกชาย สส.เขต5 จัดเต็มแจกแมส 1.5แสนชิ้น และอุปกรณ์การแพทย์แก่รพ.ในพื้นที่

นายกชาย นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.เขต 5 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ระดมความช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 5 ด้วยการมอบหน้ากากอนามัยอย่างดีจำนวน 150,000 ชิ้น มอบชุดวัดอุหภูมิ 34 ชิ้น ถุงมือ 10,000 ชิ้น ชุดPPE 200 ชุด หน้ากาก N95 1,000 ชิ้น เจล 200 ขวด โดยมอบผ่าน 4 โรงพยาบาล และ 34 รพ.สต.ในเขตเลือกตั้งที่ 5 ซึ่งประกอบด้วยอำเภอรัตภูมิ ควนเนียง บางกล่ำ และสิงหนคร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และแจกจ่ายแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่

วันนี้ (20 เม.ย.63) ณ สำนักงานส.ส.เขต 5 อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ของนายเดชอิศม์ ขาวทอง (นายกชาย) ส.ส.เขต 5 จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการส่งมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 150,000 แสนชิ้น ซึ่งได้จากการจ้างกลุ่มแม่บ้าน จ้างประชาชนในเขตพื้นที่ที่มีเครื่องจักรเย็บผ้า มาร่วมกันเย็บหน้ากากอนามัยเนื้อผ้าอย่างดี ได้รับการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ และยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในช่วงวิกฤตอีกช่องทางด้วย โดยมีนางพิมพ์ธาดา จันทร์สุริยา นายอำเภอรัตภูมิ ผู้กำกับสภ.รัตภูมิ ส่วนราชการต่างๆ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี อดีตผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว นายวงศ์วชิระ ขาวทอง ครอบครัว และคณะทำงาน ร่วมต้อรับอสม.และแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมรับมอบหน้ากากอนามัย และอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยการส่งมมอบในวันนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มผู้มารับออกเป็น 3 รอบ เพื่อลดการแออัดของผู้มาร่วมงานตามนโยบายรัฐบาล

นายกชาย กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนของคนเขต 5 ได้รับฟังปัญหาความเดือดร้อยของพี่น้องประชาชนมาในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการขาดแคลนหน้ากากอนามัยเพราะหาซื้อไม่ได้บ้าง มีราคาแพงบ้าง บางครอบครัวไม่มีเงินซื้อก็มี แม้จะมีการช่วยเหลือจากภาครัฐไปบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ตนเองได้รับรวมการสนับสนุนจากพรรคพวกและเพื่อนๆ ในการระดมทุนเพื่อจัดซื้อผ้าและสายรัดมาว่าจ้างประชาชนในพื้นที่ที่มีเครื่องจักเย็บผ้า มาช่วยกันผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกจ่ายชาวบ้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งวันนี้สามารถผลิตและส่งมอบผ่านรพ.สต.และอสม.ในพื้นที่จำนวนทั้งสิ้น 150,000 ชิ้น มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย ชุดวัดอุหภูมิ 34 ชิ้น ถุงมือ 10,000 ชิ้น ชุดPPE 200 ชุด หน้ากาก N95 1,000 ชิ้น เจล 200 ขวด โดยมอบผ่าน 4 โรงพยาบาล และ 34 รพ.สต.ในเขตเลือกตั้งที่ 5 ซึ่งประกอบด้วยอำเภอรัตภูมิ ควนเนียง บางกล่ำ และสิงหนคร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และดูแลพี่น้องประชาชนในเขตรับผิดชอบของตัวเองด้วย 
#28
โควิดระบาด : โอกาส​ทองที่จะเลิกบุหรี่​เด็ดขาด

ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวณิชย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยท่าทีล่าสุดของหน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ Public Health England (PHE) ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา CDC โดยเตือนชาวอังกฤษให้ใช้โอกาสที่โควิดระบาดอย่างรุนแรงในอังกฤษขณะนี้ เลิกสูบบุหรี่ โดย PHE ระบุว่า

•   ไม่เคยมีเวลาที่สำคัญกว่านี้อีกแล้ว ที่ผู้สูบบุหรี่จะเลิกสูบ จากการที่โควิด 19 ระบาดรุนแรงขึ้นในอังกฤษ
•   มีคนอังกฤษ 3,605 คน ที่เสียชีวิตจากโควิด 19 โดย 684 คนเสียชีวิตในวันเดียว
•   การสูบบุหรี่ ที่ทำให้มือแตะต้องปากอย่างต่อเนื่อง เป็นช่องทางที่จะนำเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
•   เมื่อคนสูบบุหรี่ติดเชื้อแล้ว ความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง เพิ่มขึ้น 14 เท่า (ข้อมูลจากประเทศจีน)
•   อีกรายงานพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ต้องเข้าไอซียู หรือที่ตาย เป็นคนที่สูบบุหรี่
•   นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความเสียหายที่ปอดได้รับ จากการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการติดเชื้อง่ายขึ้น
•   คนในครอบครัวที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด 19 และมีความเสี่ยงสูงขึ้น ที่จะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
•   นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า แม้ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า คนที่สูบบุหรี่จะติดเชื้อโรคง่าย
•   อวัยวะที่คล้ายขนโบกพัดเล็ก ๆ บนผิวทางเดินหายใจ ที่ทำหน้าที่ ขจัดเชื้อโรคและสารคัดหลั่งออกจากปอด ได้รับความเสียหาย จากสารเคมีพิษในควันบุหรี่

ขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเลิกสูบบุหรี่นอกจากจะมีประโยชน์ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดรุนแรงแล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในขณะนี้ ที่จะมีการจ้างงานลดลงหรือเลิกจ้าง และคนจำนวนมากจะมีรายได้ลดลง ซึ่งข้อมูล ปี พ.ศ. 2560 พบว่า คนไทยที่สูบบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงาน 5 ล้านกว่าคน เสียค่าซื้อบุหรี่โดยเฉลี่ยเดือนละกว่า 800 บาททั่วประเทศ และเดือนละกว่า 1,000 บาท สำหรับผู้สูบบุหรี่ในกรุงเทพมหานคร จึงอยากจะเชิญชวนให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ โดยหากเลิกสูบไม่ได้ด้วยตนเอง  ก็สามารถไปรับการรักษาตามโรงพยาบาล หรือโทรขอคำปรึกษาทางโทรศัพท์หมายเลข 1600 ได้


อ้างอิง  : www.dailymail.co.uk/news/article-8184751/amp/Coronavirus-warning-smokers-Public-Health-England-says-addicts-face-greater-risk-coronavirus.html
#29
สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา จัดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2563 "เฟ้นหาช้างเผือก ปั้นดินให้เป็นดาว" เตรียมพร้อมสู่การแข่งขันทุกรายการ มุ่งเน้นความเป็นเลิศด้านกีฬา ขานรับนโยบาย  Sport City สงขลาเมืองกีฬา

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 63 ณ โรงแรมพาราไดซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา นำโดยนายประสงค์ บริรักษ์ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา นายกิจจา ไวชมภู ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา นายสุเมธ อัครพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จังหวัดสงขลา นายพิทักษ์ สุวรรณวงศ์ เลขาธิการสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา และตัวแทนชมรมกีฬา เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2563 และได้รับเกียรติจากพันโท รุจ แสงอุดม รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และได้แนะแนวทางการดำเนินงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยได้วางแผนยุทธศาสตร์ทางด้านกีฬา และเน้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันขับเคลื่อนด้านกีฬา

นายประสงค์ บริรักษ์ ได้กล่าวถึงการดำเนินงานที่ผ่านมา ในปี 2562 ซึ่งเป็นไปอย่างน่าพอใจ รวมทั้งเน้นย้ำทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามวาระ สงขลาเมืองกีฬาของจังหวัดสงขลา เพื่อให้สอดคล้องกับการได้รับคัดเลือกเป็น Sport City นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการส่งเสริมด้านการกีฬาตามนโยบาย "ปั้นดินให้เป็นดาว เฟ้นหาช้างเผือก" เปิดโอกาสให้นักกีฬาทั้ง 16 อำเภอ เข้ามาคัดเลือกสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพของจังหวัดสงขลา เพื่อเตรียมความพร้อมนักกีฬาในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 36 "ช้างดาวเกมส์" ที่ จ.ตราด ระหว่างวันที่ 19-29 มีนาคม 2563 รวมทั้งการแข่งขันแข่งกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 "ศรีสะเกษเกมส์" ระหว่างวันที่ 5-15 ธันวาคม 2563 และกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 3 "ตราดเกมส์" ระหว่างวันที่ 24-30 เมาายน 2563 รวมถึงกีฬาในระดับภาคและอื่นๆ นอกจากนี้ได้กล่าวถึงการนำร่อง 14 ชนิดกีฬา ที่จะเป็นตัวนำร่องสู่การเป็นเลิศด้านกีฬาของจังหวัดสงขลา แต่ในขณะเดียวก็จะสนับสนุนกีฬาชนิดอื่นอย่างเท่าเทียม

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจ สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา www.facebook.com/330590240660869
#30
เปิดแล้วเทศกาลโคมไฟนานาชาติด่านนอก ภาคเอกชนลงทุนผักดันการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง

ค่ำคืนวันที่ 21 มกราคม 2563 นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานในพิธิเปิดงาน"มหกรรมหุ่นโคมไฟนานาชาติแลนเทิร์นส์ เฟสติวัล 2020 " โดยมีนายเดชอิศม์  ขาวทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา นายสุเมธ ศศิธร นายกเทศมนตรีเมืองสะเดา นายเกชา เบญจคาร นายกเทศมนตรีตำบสำนักขาม รวมถึงแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธีเปิดงาน"มหกรรมหุ่นโคมไฟนานาชาติแลนเทิร์นส์ เฟสติวัล 2020 " ณ เอ็มบีไอ รีสอร์ท ด่านนอก ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา  จังหวัดสงขลา

โดยโครงการดังก่าว นายเทดดี้ เตียว ประธานกรรมการบริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป จำกัด เป็นแม่งานในการจัดงานมหกรรมหุ่นโคมนานาชาติ หรืองานแลนเทิร์นส เฟสติวัล 2020 ครั้งนี้ ซึ่งได้มีการออกแบบ การแสดงโชว์หุ่นโคมไฟแอลอีดี ใหม่ทั้งหมด  แต่ละจุดใหญ่โตอลังการ พร้อมแสงสีเสียงครบครันตระการตา จัดแสดงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ มีที่่จอดรถสะดวกสบาย ถือเป็นเปิดศักราชใหม่ ของ บริษัทเอ็มบีไอ ซึ่งเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของบ้านด่านนอกอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการที่จะเข้ามาท่องเที่ยวและร่วมลงทุน ฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองชายแดน

สำหรับเทศกาลโคมไฟนานาชาติ Lanterns Festival 2020 ที่สนามโรงแรม MBI RESORT ด่านนอก ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. โดยมีค่าเข้าชม 100 บาท เด็กสูงไม่เกิน 90 ซม. เข้าชมฟรี
#31
เกษตรเขต 5 แจ้งเกษตรกรภาคใต้ เฝ้าระวัง สำรวจการระบาดโรคใบร่วงยางพารา ซึ่งทำให้ผลผลิตลดลงกว่าครึ่ง ใบยางที่ร่วงมีรอยจุดคล้ายโดนความร้อน และพบระบาดอย่างหนักในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายสุพิท  จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้เกิดการระบาดของโรคใบร่วงของยางพาราในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ยะลา และปัตตานี  โดยจังหวัดได้รายงานสถานการณ์เบื้องต้นให้ทราบ พบการระบาดของโรคใบร่วงยางพาราที่จังหวัดนราธิวาส ใน 8 อำเภอ พื้นที่รวม 277,030 ไร่

โดยเกิดจากเชื้อรา Pestalotiopsis sp. เป็นเชื้อราสาเหตุของโรคใบร่วงที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน แต่เคยพบการระบาดในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับทางภาคใต้ของประเทศไทย คือ ร้อนชื้นและฝนตกชุก สามารถพบได้ทุกสายพันธุ์ แพร่ระบาดโดยลมและฝนจึงค่อนข้างยากต่อการป้องกันและควบคุม ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตน้ำยาง หากระบาดรุนแรงจะทำให้ผลผลิตน้ำยางลดลงร้อยละ 30–50

ลักษณะอาการของโรคจะปรากฏบนใบยางแก่ จะปรากฏรอยช้ำเป็นกลุ่มเห็นได้ชัดเจนด้านหลังใบ หลังจากนั้นจะแสดงอาการเป็นวงค่อนข้างกลมสีเหลือง ต่อมาเนื้อเยื่อรอยสีเหลืองจะแห้งตายเป็นแผลกลมสีสนิมซีด โดยพบอาการจุดแผลต่อใบยางมากกว่า 1 แผล จากนั้นใบจะเหลืองและร่วงในที่สุด อาการของโรคจะรุนแรงและใบร่วงมากหลังมีฝนตกหนักติดต่อกันอย่างน้อย 2 วัน ต้นยางอายุมากขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าต้นยางอายุน้อยขนาดเล็ก

ซึ่งอาการใบร่วงจากเชื้อราชนิดนี้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตน้ำยาง เนื่องจากมีใบร่วงมากกว่าร้อยละ 90 จึงเป็นเหตุให้ผลผลิตลดลง พบได้ในทุกพันธุ์ยางที่ปลูกในพื้นที่นั้น ได้แก่ พันธุ์ RRIM 600 พันธุ์ RRIT 251 และพันธุ์ PB 311 การแนะนำเบื้องต้นสำหรับการป้องกันกำจัดเกษตรกรควรใส่ปุ๋ยบำรุงดินตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยบาง เพื่อให้ต้นยางพาราสมบูรณ์ แข็งแรง และหากมีการตรวจพบโรคใบร่วง ให้พ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่มเดียวกับที่ใช้ในการควบคุมโรครากขาวยางพาราให้พ่นสารเคมีกำจัดเชื้อรา อัตราการใช้สารเคมีตามคำแนะนำ ดังนี้ ใช้สาร Thiophanate Methyl พ่นลงพื้นดินบริเวณที่พบเชื้อ หรือใช้สาร Benomyl, Hexaconazole, Thiophanate Methyl, Triadimefon และ Difenoconazole พ่นบริเวณทรงพุ่มยางพารา

นายสุพิท  จิตรภักดี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้การยางแห่งประเทศเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานเกี่ยวกับโรคใบร่วงยางพารา และให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานสนับสนุน โดยดำเนินงานในขณะนี้
1. การยางแห่งประเทศไทยและกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกันสำรวจสถานการณ์ และใช้ข้อมูลสถานการณ์เชิงพื้นที่เป็นข้อมูลเดียวกัน
2. การยางแห่งประเทศไทย หาแนวทางป้องกันพื้นที่ปลูกยางที่ยังไม่มีการระบาดของโรคใบร่วง
3. การยางแห่งประเทศเทศไทย จะจัดอบรมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับลักษณะอาการและการสำรวจโรคใบร่วงยางพาราให้กับเจ้าหน้าที่ของการยางแห่งประเทศไทยในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา และจังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน 2562 ณ การยางแห่งประเทศไทยสาขาจังหวัดนราธิวาส

ในส่วนของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา ได้เน้นย้ำให้จังหวัดและอำเภอ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่ในพื้นที่ เฝ้าระวัง เร่งสำรวจพื้นที่การระบาดพร้อมรายงานข้อมูลให้กรมส่งเสริมการเกษตรทราบทุกวันพุธ และออกให้คำแนะนำการป้องกันที่ถูกต้องแก่เกษตรกร ตามคำแนะนำของการยางแห่งประเทศไทย และกรมวิชาการเกษตร
#32
ร้อยแก่นสารสินธุ์ ยกขบวนโรดโชว์ที่หาดใหญ่ ชวนชมของดีและเที่ยวอีสานตอนกลาง

ร้อยแก่นสารสินธุ์ กลุ่มจังหวัดอีสานตอนกลาง ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ จัดกิจกรรมโรดโชว์ชวนชาวหาดใหญ่เที่ยวอีสานตอนกลางและเลือกซื้อสินค้าดี 4 จังหวัด 10-14 ตุลาคม 2562 ณ เซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ ในงาน"ร้อยแก่นสารสินธุ์ สะออน ออนซอน เดย์ โรดโชว์ 2019 " ( Roi-Kaen-Sara-Sin Saon Onsorn Day Road Show 2019)

(11 ต.ค.62) ณ ลานโปรโมชั่นชั้น1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุเทพ มณีโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวโครงการ "ร้อยแก่นสารสินธุ์ สะออน ออนซอน เดย์ โรดโชว์ 2019 " ( Roi-Kaen-Sara-Sin Saon Onsorn Day Road Show 2019) โดยมีสทิศ สิทธิมณีวรรณ​ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวรายงาน นายเอกชัย แก้วรัตนะ ปลัดอาวุโสอำเภอหาดใหญ่ กล่าวต้อนรับ และมีแขกผู้มีเกียรติ ผู้แทนกลุ่มจังหวัด ผู้สนใจร่วมเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนมาก


รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่น ได้กำหนดให้เป็นเมือง Mice City และเป็นประธานกลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์ ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีสายการบินเชื่อมโยงทุกภูมิภาค ภาคเหนือ เชียงใหม่ – ขอนแก่น  ภาคใต้ ขอนแก่น –หาดใหญ่ เชื่อมโยงนักท่องเที่ยว สิงคโปร์ – มาเลเชีย เดินทางสู่ขอนแก่น สามารถเชื่อมโยงจากขอนแก่นสู่นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาวได้ จังหวัดแก่นจึงได้จัดงานโรดโชว์ "ร้อยแก่นสารสินธุ์ สะออน ออนซอน เดย์ โรดโชว์ 2019 " ( Roi-Kaen-Sara-Sin Saon Onsorn Day Road Show 2019) ระหว่งาวันที่ 10-14 ตุลาคม 2562 ณ ลานโปรโมชั่นชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์ ยังเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว ทั้งด้านการท่องเที่ยวทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม มี ศาสนสถานที่โดดเด่นและมีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม ตลอดจนมีสินค้าที่สำคัญของกลุ่มจังหวัด ได้แก่ ผ้าไหม และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ อีกมากมาย  ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำการตลาดเชิงรุกเพื่อประชาสัมพันธ์และนำเสนอสินค้า และบริการของกลุ่มจังหวัดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไปสู่สาธารณชนให้นักท่องเที่ยวในทุกภูมิภาครับทราบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการทั้งในระดับกลุ่มจังหวัด และมีการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวทุกๆปี เพื่อเป็นการท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยง 

สำหรับโครงการ"ร้อยแก่นสารสินธุ์ สะออน ออนซอน เดย์ โรดโชว์ 2019 " ( Roi-Kaen-Sara-Sin Saon Onsorn Day Road Show 2019) กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมการแสดงและจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ ของดีของเด่นจากจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ รวมทั้ง การบริการการท่องเที่ยว  โรงแรม โดยมีกิจกรรมให้ร่วมสนุก รับส่วนลดมากมาย กว่า 50 % สำหรับโรงแรมในจังหวัดขอนแก่น  กิจกรรม Business Matching การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสาน กิจกรรมส่งเสริมการขาย และการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำ อาทิ  โบว์ ซุปเปอร์วาเลนไทน์, ,เอิ้นขวัญ วรัญญา, จักจั่น วันวิสา , เต๋า ภูศิลป์ และนุช วิลาวัลย์ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานวันละ 30,000 คน จึงขอเชิญชวนชาวสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมชมงานในครั้งนี้กันด้วย
#33
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับ ศอ.บต. จัดกิจกรรม "Southernmost Technology and Innovation Festival" สร้างการรับรู้แก่ ประชาชน จชต. เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับประเทศ

(4 กันยายน 2562) ที่โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรม "Southernmost Technology and Innovation Festival" ครั้งที่ 2 โดยมี นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายอิสระ ละอองสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. นายวิเชียร สุขสร้อย รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจและสังคม สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมนิสิต นักศึกษา เข้าร่วม
สำหรับกิจกรรม "Southernmost Technology and Innovation Festival" ครั้งที่ 2 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม ได้ร่วมกับ ศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนใต้ (ศอ.บต.)

จัดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจนวัตกรรมให้แก่ ประชาชนภายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และกระตุ้นให้นิสิต นักศึกษา นักวิชาการ ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมและ ประชาชนในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงความสำคัญในการนำนวัตกรรมมาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 4 - 5 กันยายน 2562 ซึ่งในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจาก คณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ นิสิต นักศึกษา ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้จำนวน มากกว่า 500 คน เข้าร่วม

นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า ทางปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง ศอ.บต. เห็นความสำคัญของการที่จะต้องนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการผลักดัน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม ให้เจริญก้าวหน้า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ทางกระทรวงให้ความสำคัญ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้จัดกิจกรรมงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาผู้ประกอบการทั้งในแง่การให้ความรู้ การชี้ช่องทางการตลาด การสนับสนุนด้านเงินทุน รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้เติบโตไปจนสามารถเป็นผู้ประกอบการตั้งต้นและขยายธุรกิจต่อไป เชื่อมั่นว่านวัตกรรมจะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี

ด้านนายอิสระ ละอองสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้เป้าหมายหลักคือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งผู้ประกอบการ ภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตร ซึ่งเชื่อมั่นว่า การได้ร่วมมือกับทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางการผลิต ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว เกษตร ประมง อย่างครบวงจร โดย ศอ.บต. พร้อมจะจับมือกับทาง สนช. และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าดำเนินการให้บรรลุตามเป้าที่ได้วางไว้ต่อไป

ทั้งนี้ ภายในงานมีการแสดงนิทรรศการด้านนวัตกรรมและงานสัมมนาด้านวิชาการที่สอดคล้องสำหรับการประยุกต์นวัตกรรม เพื่อปรับใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ภายใต้แนวคิด "Groom Grant Growth" รวมทั้งมีกิจกรรมการบรรยาย การเสวนา และการสัมมนาด้านวิชาการต่าง ๆ อาทิ การแนะนำกลไกการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ มีการบรรยายด้านนวัตกรรมจากผู้ทรงคุณวุฒิ และกิจกรรมแสดงนิทรรศการของผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ที่ดำเนินธุรกิจนวัตกรรม 10 ราย กิจกรรม Workshop สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจนวัตกรรม นิทรรศการของหน่วยงาน ศอ.บต. และนิทรรศการของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวนกว่า 30 หน่วยงาน
#34
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการ AOT DIGITAL AIRPORTS : Turn Busy to Easy ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือ AOT AIRPORTS APPLICATION ซึ่งเป็นการนำนวัตกรรมที่เชื่อมโยงระบบ IT ทั้งหมดในท่าอากาศยานให้สื่อสารกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท.และเดินหน้าเชื่อมโยงระบบไปยังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนอกท่าอากาศยาน ทั้งการคมนาคมและแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ ร่วมทั้งเชื่อมโยงไปยังท่าอากาศยานพันธมิตร 16 แห่งทั่วโลก พร้อมก้าวเข้าสู่องค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ร่วมเปิดโครงการฯ พร้อมพันธมิตรทางธุรกิจร่วมงาน ในวันที่ 21 สิงหาคม 2562 เวลา 10.30 น. ณ ควอเทียร์ แกลลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์
#35
ผู้ว่าฯ ติดตามสถานการณ์ไฟไหม้ป่าพรุที่ควนเนียงที่กินพื้นที่กว่า 1,200ไร่และยังไม่สามารถดับได้

ผู้ว่าฯ สงขลา ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ไฟ้ป่าพรุทุ่งบางนกออก อ.ควนเนียง พร้อมเร่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขอย่างเต็มกำลัง หลังไฟลามทุ่งกินพื้นที่กว่า 1,200ไร่ มั่นใจสถานการณ์เริ่มคลี่คลายดีขึ้นและยังไม่มีผลกระทบด้านสุขภาพขั้นรุนแรง

(7 ส.ค.62) นายวีรนันทร์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ลงพื่นที่ตำบลควนโส อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามสถานการณ์พร้อมประชุมวางแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางการป้องกัน และยับยั่งการลุกลามของไฟป่า โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา หน่วยส่งเสริมควบคุมไฟป่า เกษตรอำเภอควนเนียง กองร้อยอส.จ. หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ 8 (ห้วยลึก) และหน่วยงานอื่น ๆ รวมกว่า 300 นาย

นายวีรนันทร์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สถานการณ์ในวันนี้พบว่า ไฟได้ลุกลามเพิ่มขึ้นในวงกว้าง โดยแบ่งเป็นพื้นที่ป่า 1200 ไร่ จากเดิม 500 ไร่ และพื่นที่สวนปาร์มเพิ่มขึ้นเป็น 200 ไร่ จากเดิม 50 ไร่ ซึ่งเขตพื่นที่ที่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้จะอยู่ในริเวณหมู่ 4 และหมู่ 8 และในส่วนของพื่นที่ที่สามารถควบคุมได้บางส่วนแล้ว ประกอบด้วย หมู่ 5 หมู่ 6 หมู่ 10 และ หมู่ 11

ซึ่งมติในที่ประชุมได้สรุปแนวทางการแก้ไข ด้วยการขุดลอกน้ำระยะทาง 2 กิโลเมตร เป็นแนวที่มีระยะห่างทุก ๆ 300 เมตรในพื้นที่หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 8 ทางด้านทิศตะวันตก บริเวณรอยต่อพื้นที่เกษตรกรของประชาชนและเขตปิ่ซึ่งหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ 8 (ห้วยลึก) ได้ชี้แนวทางในพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ เพื่อสูบน้ำจากแหล่งน้ำให้ล้นเอ่อลงไปในพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ โดยขณะนี้ได้ติดตั้งอุปกรณ์ที่จะดำเนินการ ประกอบด้วยรถแบ็คโฮ 3 คัน และเครื่องสูบน้ำ 5 เครื่องโดยคาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 3 วัน

ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้เน้นย่ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง พร้อมแสดงความห่วงใยแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน พร้อมจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว

รายงานข้อมูลเพิ่มเติมเพลิงไหม้ลามทุ่ง บริเวณพื้นที่หมู่ที่ 4,8,5,6,10,11 ตำบลควนโส อำเภอควนเนียง จ.สงขลา (7 ส.ค. 62 )

1) ผลกระทบ
1.1 ด้านสุขภาพ ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากควันไฟ 6 หมู่บ้าน จำนวน 1,000 คน
1.2 ด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่าไม้ทุ่งบางนกออก จำนวน 1,200 ไร่
1.3 ด้านพืชสวนปาล์มน้ำมัน ประมาณ 200 ไร่

2) การให้ความช่วยเหลือ สนง.ปภ.จ.สงขลา มอบหมาย จนท.ลงพื้นที่ พร้อม ประสานหน่วยงานเข้าสนับสนุน/ช่วยเหลือ ด้านการดับเพลิง สูบน้ำเข้าพื้นที่ป่า รพ.สต.ควนโสประชาสัมพันธ์ชาวบ้านให้ระวังด้านสุขภาพ และแจกหน้ากากอนามัย ศปภ. เขต 12 สงขลา ,อบจ.สงขลา สูบน้ำจากคลองเข้าพื้นที่ป่าเพื่อช่วยดับไฟและควบคุมการลุกลาม หน่วยดับไฟป่า อส.อ.ควนเนียง และประชาชนเข้าประกอบกำลัง รวมทั้งหน่วยงานอื่น ๆ รวม 25 หน่วยงาน บุคลากร 294 นาย เครื่องมือ/อุปกรณ์ 14 ชนิด/ประเภท

3) จังหวัดประกาศเขตให้ความช่วยเหลือฯ และจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน อ.ควนเนียง จ.สงขลา เพื่อบริหารจัดการ

4) การประชุม แก้ไขปัญหาดังนี้
4.1 เวลา 09.00 น. ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านผลกระทบจากหมอกควัน ณ ศาลากลางจังหวัดสงขลา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเป็นประธาน ผลการประชุมจังหวัดสงขลาได้ออกประกาศจังหวัดสงขลา เรื่อง ผลกระทบจากสถานการณ์ไฟป่าพรุเสม็ดทุ่งบางนกออก ต.ควนโส อ.ควนเนียง จ.สงขลา
4.2 เวลา 13.00 น. ประชุมสรุปสถานการณ์ วางแผนการแก้ปัญหาไฟป่า ในพื้นที่ อ.ควนเนียง ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ต.ควนโส โดยผู้ว่าชการจังหวัดสงขลา เป็นประธาน

5) ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ลงตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และพื้นที่ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหา

ความคืบหน้าการช่วยเหลือและความเสียหายจะนำเรียนเป็นระยะๆต่อไป
#36
ชวนชิมโรตีพิซซ่า ที่ร้านโรตีก๊ะ&coffee ของดีน่าลองที่ห้วยโอน รัตภูมิ

รีวิวชวนชิมขอแนะนำร้านจากทางบ้าน ร้านโรตีก๊ะ & coffee ร้านริมทางบ้านห้วยโอน ถ.เพชรเกษม (สายเก่า) รัตภูมิ สงขลา ใกล้สนามบอลที่คนแถบนี้รู้จักกันอย่างดี ร้านเปิด 17.00-21.30น. โทร 0843570155 fb : Yahya Yawee

เมนูแนะนำ เมนูโรตี โรตีพิซซ่า เมนูเด็ดของร้านที่ขายดีมาก และยังมีโรตีมะพร้าวอ่อน โรตีฝอยทอง โรตีข้าวโพด โรตีน้ำแกงเนื้อ โรตีใส่ไข่ โรตีกล้วย โรตีกรอบช็อค โรตีกรอบนม โรตีโอวัลติน โรตีโดนัท

รายการเครื่องดื่มก็มี ชาเย็น กาแฟ ชาเขียว มะพร้าวน้ำหอมปั่นนมสด เต็งหนึ่งเฉาก๊วยนมสดคาราเมล และเฉาก๊วยโบราณเหนียวหนึบ น้ำปั่นติ่งฟง และอีกหลากหลายเมนู ผ่านทางห้วยโอนยามเย็นแวะมาอุดหนุนกันได้
#37
จังหวัดสงขลา จัดประกวดธิดาผ้าทอสงขลา และ Miss Grand Songkhla 2019 รอบตัดสิน เพื่อเฟ้นหาสาวงามที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และความสามารถเป็นตัวแทนของจังหวัดสงขลาในการประกวด Miss Grand Thailand 2019

(27 เม.ย. 62) ที่เวทีกลางสระบัวแหลมสมิหลา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานเปิดงานประกวดธิดาผ้าทอสงขลาและมิสแกรนด์สงขลา 2019 (Miss Grand Songkhla 2019 ) รอบตัดสิน ภายในงานฤดูร้อนและงานกาชาดจังหวัดสงขลา ประจำปี 2562 เพื่อค้นหาสุดยอดสาวงามที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และความสามารถเข้าสู่การประกวดเวทีระดับประเทศที่จะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2562 โดยมีนางอัญญาณี เพ็งจันทร์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา นายหม่า เพิ่ง ชุน กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดสงขลา นางสมศรี รักนุ้ย วัฒนธรรมจังหวัดสงขลา คณะกรรมการตัดสินและผู้ให้การสนับสนุน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมชมและให้กำลังใจแก่สาวงามทั้ง 13 คน อย่างคับคั่ง

นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า การประกวดมิสแกรนด์สงขลา 2019 เป็นกิจกรรมการประกวดสาวงามของจังหวัดสงขลา เพื่อค้นหาตัวแทนสาวงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติ ทั้งความสวย ความรู้ ความสามารถ ไหวพริบ ปฏิภาณ และเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม โดยผู้ที่ได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์สงขลาจะเป็นตัวแทนไปประกวดระดับประเทศไทยและก้าวไปสู่เวทีระดับนานาชาติ รวมถึงหน้าที่ในการขับเคลื่อนการทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ เป็นแบบอย่าง ช่วยเหลืองานสังคมให้กับหน่วยงาน หรือ องค์กรต่างๆ พร้อมโอกาสได้เป็นนักแสดง หรือ ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ในลำดับต่อไป

สำหรับผลการประกวดในครั้งนี้ผู้ที่ได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์สงขลา 2019 ได้แก่ หมายเลข 9 นางสาวรุจิรดา ศรีพิทักษ์ เป็นสาวงามที่ได้ครอบครองมงกุฎและสายสะพาย เป็นตัวแทนของจังหวัดสงขลาเข้าประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2019 ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2562 ที่จะถึงนี้ และรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ หมายเลข 2 นางสาวไดอาน่า หนังสือ ,รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ หมายเลข 12 นางสาวกมณชนก ก้านบัว, รองชนะเลิศอันดับ 3 ได้แก่ หมายเลข 8 นางสาวรสมานี จางวางและรองชนะเลิศอันดับ 4 ได้แก่ หมายเลข 13 นางสาวกัญญาวีร์ หนูแก้ว

นอกจากนี้จังหวัดสงขลามอบรางวัลชุดผ้าทอจังหวัดสงขลายอดเยี่ยมและรางวัลชุดราตรียอดเยี่ยม รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ หมายเลข 2 นางสาว ไดอาน่า หนังสือ รับเงินรางวัลมูลค่ารวม 20,000 บาทและรางวัลขวัญใจสื่อมวลชน ได้แก่ หมายเลข 10 นางสาวอรวรรณ ศรีพนมวรรณ รับเงินรางวัลมูลค่า 5,000 บาท

ศิริลักษณ์ แคล้วคลาด /ข่าว ประชา โชคผ่อง/ภาพ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
#38
เวทีจุดเปลี่ยนภาคใต้กับภาพลักษณ์สส. ชวนนายกชาย-ณัฏฐ์ชนน -อ.จรูญ-ผศ.ดร.บูฆอรี เผยแม้ต่างพรรคแต่อยากสร้างความสามัคคี สร้างภาพลักษณ์การเมืองใหม่สงขลาเพื่อขยับเป็นโมเดลในระดับภาค ระดับชาติ ย้ำให้การเมืองแข่งกันตอนหาเสียงแต่หลังเลือกตั้งต้องมาร่วมกันเดินหน้าพัฒนาท้องถิ่น และประเทศชาติ

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2562 ที่โรงแรมหาดใหญ่พาราไดย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการจัดเวทีเสวนา หัวข้อ"จุดเปลี่ยนภาคใต้กับภาพลักษณ์ใหม่ ส.ส.และรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 62″ มีนายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่สส. เขต 5 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ว่าที่สส.เขต 7 สงขลา พรรคภูมิใจไทย ผศ.ดร.บูฆอรี หยีมะ นักวิชาการด้านการเมืองและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และอาจารย์จรูญ หยูทอง นักวิชาการอิสระ ดำเนินการเสวนา พร้อมกับผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอะแนะ และตั้งคำถามร่วมกัน

นายเดชอิศม์ ขาวทอง หรือนายกชาย ว่าที่สส. เขต 5 เผยว่าตนในฐานะว่าที่สส.มองในเรื่องของภาพลักษณ์ภาคใต้ สส.หลังการเลือกตั้ง62 ว่าเราไม่ควรเพิ่มความขัดแย้ง แบ่งสีเสื้อ อยากให้พรรคการเมืองไทย และนักการเมืองมีความแบ่งปัน แม้จะต่างพรรคกัน แต่อยากให้มีความสามัคคี บทบาทของการเมืองในสภา สส.ทุกคนต้องทำงานตามหน้าที่ ของตัวเองและบทบาทที่ได้รับจากทางพรรค แต่ใระดับพื้นที่เราต้องมีความสามัคคีกัน มาร่วมกันผลักดันการพัฒนาให้กับบบ้านเรา

วันนี้สส.สงขลา 8 คนมาจาก 3 พรรคการเมือง ซึ่งหลังจากนี้ยังไม่รู้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน แต่วันนี้เราได้มาร่วมกันประชุมและพร้อมร่วมกันผลักดันวาระสงขลา โดยวาระแรกคือการแก้ปัญหานำเสียในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา คลองอู่ตะเภา และคลองทุกสายในจังหวัดสงขลา ต้องตั้งบอร์ดขึ้นมาดูแลเรื่ิองนี่โดยเฉพาะ ต้องทำให้หน่วยงานราชการตื่นตัวในการดูแลความเดือดร้อนของชาวบ้านให้มากกว่านี้ นี่คือวาระแรก หลังจากนี้ก็จะผลักดันวาระอื่นๆ ต่อไป

ด้านนายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ว่าที่สส.เขต 7 สงขลา พรรคภูมิใจไทย เผยว่า ก่อนจะเปลี่ยนภาพลักษณ์นักการเมืองคนมองว่าต้องเปลี่ยนพฤติกรรมคนที่จะมาเป็นสส.ก่อน ที่ผ่านมาจากการลงพื้นที่หาเสียง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าเป็นสส.อย่าทิ้งชาวบ้าน นั่นคือชาวบ้านต้องการผู้แทนที่เขาสามารถพบเจอ สามารถเข้าถึงได้ ที่สำคัญสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเขาได้ วันนี้ผมพร้อมเป็นแกนนำผลักดันวาระแรกคือเรื่องเสถียรภาพราคายาง ซึ่งได้มีการจัดทำพรบ.ตั้งไว้แล้วและจะผลักดันให้เข้าสู่สภาให้ได้โดยเร็วที่สุด

ซึ่งสอดคล้องกับที่ ผศ.ดร.บูฆอรี หยีมะ กล่าวสุรปว่าวิกฤตินักการเมืองเกิดจากคนไม่เชื่อใจ 25 ปี ที่ผ่านสงขลามีผู้แทนจากพรรคเดียวแต่ยังจับมือกันไม่ได้ วันนี้ต่างพรรคแต่มาจับมือกันจะเป็นเพียงแค่การสร้างภาพหรือนำไปสู่ภาคปฏิบัติเพื่อให้ชาวบ้านได้ประโยชน์ ถ้าทำได้จริงถือเป็นมิติใหม่ของการเมืองสงขลา และคงได้เห็นการร่วมกันพัฒนาสงขลาในทิศทางที่ดีขึ้นจากความร่วมมือของสส.ลูกสงขลาทุกคน
#39
ศอ.บต.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันฟื้นฟูการเดินรถไฟเส้นทางจากสุไหงโกลก จ.นราธิวาส สู่ประเทศมาเลเซียเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและพัฒนาเศรษฐกิจ

(18 เมษายน 2562 เวลา 14.00 น.) ที่จะบังติกอ โรงแรมซีเอส ปัตตานี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานการประชุมฟื้นฟูการเดินรถไฟเส้นทางจากสุไหงโกลก – รันเตาปันยัง – ปาเสมัส – ตุมปัต โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ดังที่ทุกท่านทราบโดยทั่วกันว่า "ประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย" มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาอย่างยาวนานในทุกมิติความร่วมมือการพัฒนา ประชาชนของทั้งสองประเทศล้วนไปมาหาสู่กันอย่างญาติมิตรสหาย-ครอบครัวเดียวกัน ในขณะที่บทบาทของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ก็มีความใกล้ชิดและเด่นชัดมากที่สุดในปีปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากคำแถลงผลประชุมร่วมกันระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประเทศไทย และ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับรัฐมนตรีของมาเลเซีย ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24 – 25 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา

โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้มีพลวัตครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อร่วมกันสร้าง "ทศวรรษใหม่แห่งความสัมพันธ์" ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่มีความท้าทายมากขึ้นมุ่งเน้นความสำคัญใน 3 ประเด็น คือ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้และความร่วมมือด้านความมั่นคง การพัฒนาเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน และ ความร่วมมือในกรอบอาเซียนทั้งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์การพัฒนาของไทยและมาเลเซียในฐานะ "ภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์" ต่อการบริหารจัดการความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นและสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับนานาประเทศ ให้มีสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรือง

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนุภูมิภาคหลังการประชุมร่วมกันของผู้นำแผนความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ณ ประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาด้วยการประชุม สุดยอดผู้นำแผน IMT-GT ครั้งที่ 11 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยที่ประชุม ได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียประเด็น การจัดลำดับความสำคัญโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพในแต่ละแนวระเบียงเศรษฐกิจตามมิติการเชื่อมโยงที่เหมาะสมและเพิ่มแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามข้อเสนอโครงการที่เสนอต่อผู้นำ พร้อมทั้งคำนึงถึงผลกระทบจากการพัฒนาที่มีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง และโอกาสการเชื่อมโยงกับการพัฒนาของพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาล เช่น การเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยกับโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายภาคตะวันออก (East Coast Rail Line: ECRL) ของประเทศมาเลเซีย

ซึ่งมีโอกาสเชื่อมโยงการพัฒนาระดับภูมิภาคตามทางสายไหมใหม่ของจีน (Belt and Road Initiative) โดยเปิดแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วย ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส-เประ-กลันตัน เป็นยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงใหม่ หรือที่เรียกว่า "Economic Corridor ที่ 6" และการหารือถึงโอกาสการเชื่อมโยงเขตเสรีทางโทรคมนาคมรองรับการค้าอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแดนเชื่อมโยงระดับสากล เป็นต้น สำหรับการประชุม ในวันนี้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่หลายฝ่ายล้วนต้องการพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคบางประการทำให้โครงการดังกล่าวติดขัดและไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ส่งผลเสียต่อความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่การเป็น "ศูนย์กลางของอาเซียนที่แท้จริง" ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสการพัฒนาความร่วมมือที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงในพื้นที่และโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น สภาวการณ์การค้าขายและสภาพเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศที่ดีขึ้นตามลำดับ ดังเช่นอัตราตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านกว่าบาทไทย หากมีการเปิดเส้นทางดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมได้ดีมากยิ่งขึ้นไป

รวมทั้ง เป็นการเปิดพื้นที่เส้นทางการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่กันของพี่น้องไทยและมาเลเซียในแถบตะวันออกซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และทางตะวันออกของประเทศไทยได้จำนวนมหาศาลที่จะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังหมายรวมไปถึงการผลักดันพื้นที่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศในการพัฒนาให้เกิดศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อรองรับการขยายตัวของมุสลิมทั่วโลกในปี ค.ศ. 2020 โดยคาดว่าจะมีมากถึง 2.2 พันล้านคน ในโอกาสนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ความร่วมมือในเรื่องหนึ่งจะสามารถขยายผลไปยังความร่วมมืออีกหลายๆ เรื่อง เพื่อมุ่งเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน การสร้างสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของทั้ง 2ประเทศสืบไป

อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้อง เช่น ศอ.บต. การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนของราชการ-เอกชน-ประชาชน พิจารณาแล้วเห็นสมควรนำประเด็นการเปิดบริการเส้นทางรถไฟเดิมจากสถานีสุไหงโก-ลก (จังหวัดนราธิวาส) ถึง สถานีรถไฟปาเสมัส ประเทศมาเลเซีย หยิบยกขึ้นหารือร่วมกันทั้งในระดับจังหวัด การรถไฟของทั้งสองประเทศ และระดับนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการพัฒนาในอีกหลายมิติเชื่อมโยงกันในอนาคตตามที่กล่าวถึง ขณะเดียวกัน หากความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็พร้อมจะนำข้อมูลสรุปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางการรถไฟเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเทศไทยกำหนดเส้นทางหาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ โดยเพิ่มเส้นทางกลันตัน-สุไหงโกลก-หาดใหญ่ เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งจะต้องมีการหารือให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เป็นรูปธรรมโดยเร็วและจะได้มีการมอบหมายจัดตั้งกลไกความร่วมมือการทำงานร่วมกันในระยะต่อไป
#40
22 ปี มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ผู้นำสถาบันการศึกษาเอกชนแห่งภาคใต้

มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี จากวิทยาลัยเมืองสู่มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของภาคใต้ ที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมจัดพิธีรดน้ำขอพรผู้ก่อตั้ง และผู้อาวุโส เพื่อเป็นสิริมงคลในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย

วันอังคารที่ 9 เมษายน 2562 ณ พิพิธภัณฑ์เมืองหาดใหญ่ ศูนย์ประณีตศิลป์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ มีการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี การก่อตั้งมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ โดยมี อาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ผู้ก่อตั้งและผู้รับใบอนุญาตมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บุคลากร ตัวแทนศิษย์เก่า นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง     

ภายในงานมีการปล่อยปลา การมอบทุนการศึกษาแก่ผู้สร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัย ร่วมรดน้ำขอพรผู้อาวุโสเพื่อเป็นสิริมงคล เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 22 ปี และวันปีใหม่ไทย เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง พิธีทางศาสนา และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์

มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เกิดจากเจตจำนงค์อันแน่วแน่ของ อาจารย์ประณีต ดิษยะศริน เจ้าของและผู้บริหารโรงเรียนในเครือหาดใหญ่อำนวยวิทย์ ที่จะให้มีสถานศึกษาในระดับสูงเพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ถึงระดับปริญญาตรี จึงได้ดำเนินการขอจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตั้งแต่ต้นปีพ.ศ. 2539 ได้อนุญาตให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2540 ในชื่อ "วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่"

ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอาคารสถานที่ บุคลากร เทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปี 2546 จึงได้ยกฐานะเป็น "มหาวิทยาลัยหาดใหญ่" มีการเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ถึงปริญญาเอก โดยมีจุดมุ่ง หมายหลักคือ สร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีทักษะและความสามารถอย่างมืออาชีพ มีจิตสำนึกดีงาม สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม จริยธรรม เพื่อการดำรงตนให้เกิดคุณประโยชน์และสันติสุขทั้งแก่ตนเอง เพื่อนมนุษย์และประเทศชาติ

มหาวิทยาลัหาดใหญ่ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาภายใต้ปรัชญา "รู้คิด รู้ธรรม รู้สำเร็จ" และพร้อมก้าวสู่มหาวิทยาลัยเอกชชั้นนำของเมืองไทย สร้างสรรค์สู่สากล สร้างคนสู่อนาคต