Main Menu

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ www.SongkhlaMedia.com เรียนเชิญชาวสงขลาและทุกท่านร่วมขับเคลื่อนเว็บไซต์สาระที่มากกว่าข่าว ร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อสงขลาบ้านเรา

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - ฅนสองเล

#941
โดย เดลินิวส์ออนไลน์

นางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร และคณะกรรมการมรดกโลก เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ส่งชื่อวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อเสนอไปที่ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกพิจารณาเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative Lists) เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในอนาคตนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ศูนย์มรดกโลกได้ประกาศชื่อวัดพระมหาธาตุฯ จ.นครศรีธรรมราชเข้าสู่บัญชีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  โดยขั้นตอนต่อจากนี้คณะกรรมการของจังหวัดจะต้องจัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เรียกนอมิเนชั่น (Nommination dosier) คุณสมบัติต่างๆ ของความโดดเด่นวัดพระมหาธาตุฯ ให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ส่งไปยังศูนย์ฯ ดังกล่าวเข้าไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายการพิจารณา ซึ่งจะต้องใช้เวลา 1 ปีครึ่ง จากนั้นจะบรรจุเข้าการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 38 หรือสมัยที่ 39 ระหว่างปี  2557-2558 เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก


นางโสมสุดา กล่าวต่อไปว่า วัดพระมหาธาตุฯ เข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อของทั้งหมด 10 ข้อตามคุณสมบัติจะเป็นมรดกโลก ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อ 1 เป็นตัวแทนผลงานของการสร้างจากอัจฉริยะของมนุษย์ แสดงถึงการออกแบบอาคารและการออกแบบแผนผังของสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา โดยพระบรมธาตุเจดีย์ฯ องค์นี้มีสถูปทรงกลมขนาดใหญ่มีต้นแบบมาจากสถูปในศิลปะลังกา และปลียอดทรงดอกบัวตูมที่ประดับด้วยลูกปัดแก้ว ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสุโขทัย จึงเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมชิ้นเลิศที่สร้างจากอัจฉริยภาพของศิลปิน


อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า หลักเกณฑ์ข้อ 2 แสดงถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคุณค่าของมนุษย์ตามกาลเวลา หรือในวัฒนธรรมด้านใดด้านหนึ่งของโลก ในการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรม หรือทางเทคโนโลยีศิลปสถาปัตยกรรมโบราณ การออกแบบผังเมือง หรือการออกแบบภูมิทัศน์ โดยพระบรมธาตุเจดีย์ฯ แสดงถึงการสืบทอดคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา พัฒนาการสถาปัตยกรรม การก่อสร้าง และแผนผัง ที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะของคาบสมุทรไทยตอนบนกับศิลปะลังกา นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่รับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทจากศรีลังกา และเผยแผ่ไปยังอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรศรีวิชัย ที่ปรากฏเจดีย์ทรงระฆังในอาณาจักรเหล่านี้


?หลักเกณฑ์ข้อ 6 มีความสัมพันธ์โดยตรงหรือเห็นได้ชัดเจนกับเหตุการณ์ หรือประเพณีที่ยังคงอยู่ หรือความคิด หรือความเชื่อ งานศิลปกรรม และวรรณกรรม ที่มีความสำคัญโดดเด่นเป็นสากล ประเพณีพิธีกรรมประจำปีที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมธาตุองค์นี้ คือ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ มีความสัมพันธ์กับพุทธศาสนิกชนในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก ในฐานะสัญลักษณ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมหาศาลเดินทางเข้ามาร่วมพิธีกรรมปีละหลายครั้ง? นางโสมสุดา กล่าว
#942
โดย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กยังคงเป็นประเด็นที่แวดวงการศึกษาไทยหาทางออกว่า จะทำอย่างไรให้โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยปี 2554 มีโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็น 14,638 แห่ง จากปี 2553 ที่มีอยู่ 14,056 แห่ง โดยมีสาเหตุจากอัตราการเกิดของประชากรค่อนข้างคงที่ และคนชนบทเคลื่อนย้ายไปอยู่ในเมือง

จากปัญหาดังกล่าว "แก่งจันทร์โมเดล" จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กใน ต.หาดคัมภีร์ อ.ปากชม จ.เลย ด้วยความหวังว่าอาจเป็นทางเลือก-ทางรอดสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ

ควบรวมเพื่อคุณภาพ

แก่งจันทร์โมเดลเป็นเครือข่ายของโรงเรียน ร.ร.บ้านปากมั่งห้วยทับช้าง, ร.ร.บ้านนาโม้, ร.ร.บ้านคกเว้า และ ร.ร.บ้านหาดคัมภีร์ เดิมโรงเรียนเหล่านี้มีปัญหาครูไม่ครบชั้น และมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เห็นได้จากคะแนนโอเน็ตโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ

"สุเทพ บุญเติม" ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 บอกว่า เมื่อ 4 โรงเรียนรวมตัวกัน ทำให้มีครูทั้งหมด 16 คน และนักเรียน 247 คน เห็นได้ว่าอัตราส่วนครูผู้สอนต่อนักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยแต่ละโรงเรียนจะมีครูสอนเพียง 4 คน ตรงนี้เป็นผลดีต่อการดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การบริหารงานดำเนินการร่วมกันทุกเรื่อง ทั้งหลักสูตรการสอน กิจกรรมพัฒนานักเรียน เป็นต้น

ทั้งนี้ การเรียนการสอนจะจัดแบบรวมเรียนตั้งแต่อนุบาล 1 ถึงชั้น ป.6 แบ่งตามความโดดเด่นทางวิชาการของโรงเรียน โดย ร.ร.บ้านนาโม้สอนชั้นอนุบาล 1 กับ ป.1, ร.ร.บ้านปากมั่งห้วยทับช้างสอนชั้นอนุบาล 2 กับ ป.2, ร.ร.บ้านคกเว้าสอนชั้น ป.3-4 และ ร.ร.บ้านหาดคัมภีร์ สอน ป.5-6 ซึ่งแต่ละโรงเรียนอยู่ห่างกัน 3-5 กม. จึงมีการจัดรถยนต์รับส่งนักเรียนทั้งขาไปและกลับ ในส่วนของค่าน้ำมันรถและค่าซ่อมบำรุงให้ทางโรงเรียนเบิกจ่ายกับ อบต.หาดคัมภีร์

"การรวมตัวกันทำให้สามารถจัดสรรครูตามชั้นเรียนได้เพียงพอ รวมถึงมีการบูรณาการการใช้สถานที่และสื่อวัสดุอุปกรณ์ และอนาคตอาจตั้งกองทุนพัฒนาการศึกษาชาติ โดยระดมทุนจากชุมชนและผู้ปกครองมาช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ"

พบคะแนนโอเน็ตพุ่ง

"จิตราวดี พานิช" อาจารย์ชั้น ป.6 ร.ร.บ้านห้วยคัมภีร์ เล่าว่า เมื่อนักเรียนจากต่างที่มาเรียนร่วมกันก็เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์บ้าง อย่างไรก็ดี จะมีเทคนิคการสอนให้เด็กอยู่คละกลุ่มและทำงานด้วยกัน เพื่อให้สามารถเรียนร่วมกันได้

"เรามีกระบวนการรู้จักเด็กด้วยการสอบถามจากผู้ปกครองและอาจารย์โรงเรียนเดิมมาจัดทำเป็นข้อมูลเบื้องต้นว่าเด็กเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่านักเรียนมีพื้นฐานความรู้แตกต่างกัน

ดังนั้น แผนการสอนจะมีหลายรูปแบบ เด็กที่เคยเรียนหรือเข้าใจเนื้อหาแล้วจะมีแบบฝึกหัดให้เขาตลอดเวลาเพื่อจะได้ไม่เบื่อ ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการช้าก็จะสอนเสริมให้"

นอกจากนี้ หลังจากรวมเป็นเครือข่ายแก่งจันทร์พบว่า คะแนนโอเน็ตโดยภาพรวมของปีการศึกษา 2554 มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างวิชาคณิตศาสตร์ได้ 53.92 คะแนนเพิ่มจากปี 2553 ที่ได้ 26.51 คะแนน หรือวิชาภาษาอังกฤษได้ 41.47 คะแนน เพิ่มจากปี 2553 ที่ได้ 13.91 คะแนน

ชี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ

ถึงแม้ว่าแก่งจันทร์โมเดลจะได้รับการยอมรับจากโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 6 พันแห่งที่ประสงค์เจริญรอยตาม แต่บางโรงเรียนก็ไม่สามารถทำได้ด้วยข้อติดขัดบางประการ ซึ่ง "ดร.พิษณุ ตุลสุข" รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนขนาดเล็กจะรวมกันเป็น 2 พันศูนย์ โดยส่วนกลางต้องสนับสนุนงบประมาณด้านการเดินทางหรือพาหนะ และการประกันชีวิตเด็ก

อย่างไรก็ดี ไม่ได้ละความพยายามในการคิดค้นโมเดลใหม่ ๆ ขึ้น อย่าง "ลาดค่างโมเดล" ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ที่ต่อยอดจากแก่งจันทร์โมเดล โดยให้ครูเชี่ยวชาญเฉพาะวิชามาสอน ทำให้เด็กมีทักษะและการเรียนรู้ได้ดีกว่าจากเดิมที่ครูคนเดียวสอนหลายวิชา ซึ่งธรรมชาติของแต่ละวิชาแตกต่างกัน

"เราพยายามบอกว่า แก่งจันทร์โมเดลไม่ใช่สูตรสำเร็จการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะแต่ละแห่งมีความแตกต่างด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิศาสตร์ บริบททางสังคม หรือแม้แต่ผู้นำชุมชน" ดร.พิษณุกล่าว
#943
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1348203930&grpid=00&catid=11&subcatid=1100


คอลัมน์ จับกระแสตลาด

เรียกว่าแข่งกันทุกเรื่องสำหรับ 2 ยักษ์ ระหว่าง "โออิชิ" กับ "อิชิตัน"

รายแรกเป็นผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มกว่าหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน รายหลังก็เป็นอดีตแชมป์ผู้มีประสบการณ์ในการทำตลาดชาเขียวมาอย่างยาวนาน

จากพันธมิตรเปลี่ยนมาเป็นคู่แข่งสมรภูมิรบครั้งนี้จึงเป็นเรื่องของ "ศักดิ์ศรี" ที่ยอมกันไม่ได้

ไม่แปลกที่เราจะเห็นภาพการ "รบพุ่ง" กันทุกสนามของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ, แพ็กเกจจิ้ง, ราคา, ไซซิ่ง, โฆษณา, การสร้างข่าว สร้างกระแส, เวิร์ดดิ้งที่นำมาใช้ โดยเฉพาะเรื่องแคมเปญโปรโมชั่นที่ไม่ยอมน้อยหน้ากัน

ล่าสุด "อิชิตัน" จัดแถลงข่าว

"อิชิตัน ลุ้นรหัสรวยเปรี้ยง 60 วัน 60 ล้าน" บิ๊กแคมเปญครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีอีกรอบ โดยคำที่อิชิตันหยิบยกมาใช้วันนี้คือ "ผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มจากใบชาออร์แกนิกส์"

ซึ่งอาจทิ่มแทงใจฝ่าย "โออิชิ" ไม่น้อย

แน่นอนว่าวันนี้ค่ายของ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มี "แมทธิว กิจโอธาน" เป็นหัวเรือใหญ่ ยังคงเป็นผู้นำตลาดประมาณ 55% แม้จะเป็นส่วนแบ่งที่มหาศาล แต่นัยสำคัญคือ เป็นตัวเลขที่เริ่มหดตัวลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่มี

"อิชิตัน" เข้ามาแชร์ตลาด เป็นสถานการณ์ที่วางใจไม่ได้ ณ ชั่วโมงนี้

"ตัน ภาสกรนที" กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า สาเหตุการทำแคมเปญครั้งนี้ เพราะช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้เต็มที่ด้วยกำลังการผลิตที่มีขณะนั้นไม่ถึง 50% จึงตัดสินใจทำบิ๊กแคมเปญอีกครั้งเพื่อกระตุ้นยอดขาย ตั้งเป้าเติบโต 15-20%

"เป็นครั้งแรกที่มีการทำบิ๊กแคมเปญ 2 รอบ ปกติจะมีแค่ช่วงซัมเมอร์เพราะปัญหาด้านกำลังการผลิต แต่เชื่อว่าปีต่อ ๆ ไปน่าจะเหลือแค่ช่วงหน้าร้อนอย่างเดียว จริง ๆ จุดยืนของเราไม่ต้องการขับเคลื่อนตลาดด้วยโปรโมชั่นเท่านั้น ต้องมีการสร้างแบรนด์ด้วย"

ครั้งนี้ "ตัน" ทุ่มงบฯถึง 120 ล้านบาท มากกว่าแคมเปญ "เที่ยวกับตัน มันส์กับโน้ต" ที่ใช้อยู่ที่ 80 ล้านบาท

ถือเป็นการ "เดิมพัน" ครั้งใหญ่ของ อิชิตันเช่นเดียวกัน เพื่อต้องการรุกคืบส่วนแบ่งตลาดให้ใกล้กับโออิชิมากขึ้น เมื่อจบสิ้นปีนี้จากครึ่งปีแรกอิชิตันมีส่วนแบ่งตลาดแล้วถึง 26% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเข้าตลาดเพียง 2 ปี

จริง ๆ แล้วตั้งแต่จบหน้าร้อน ทาง อิชิตันมีการทำแคมเปญโปรโมชั่นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ "อิชิตันลุ้นโชค ขับทั้งบ้าน หน้าบานรับทองปี 2" คนเดียวลุ้นรับรถไปเลย 4 คัน ที่ร่วมกับแม็คโคร ต่อด้วยการผนึกกับเอสเอฟฯ จัดแคมเปญ "1 ฝา ดูหนังฟรี 100,000 ใบ" และเพิ่งผ่านพ้นไปกับกิจกรรมลุ้นเที่ยวที่ "วิลล่า มาร็อก" ปราณบุรี เมื่อซื้อชาเขียวครบทุก 50 บาท

ด้านโออิชิก็ไม่น้อยหน้า หลังจบ "ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊ง" แล้วก็เปิดตัวแคมเปญ "ช็อป 99 ลุ้นรับแสน" ลุ้นรับรางวัลบัตรกำนัลแม็คโครรวมกว่า 500,000 บาท

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มตั้งข้อสังเกตว่า การทำโปรโมขั่นดังกล่าวอาจสะท้อนถึงปัญหา "โอเวอร์ซัพพลาย" ของชาเขียวในปีนี้ ซึ่งต่อเนื่องมาจากแคมเปญหน้าร้อนที่ทุกค่ายต่างจัดกิจกรรมชิงโชคอย่างยิ่งใหญ่ จากทุกปีที่มีแต่โออิชิรายเดียวก็มีอิชิตันเข้ามาแข่งด้วย ขณะที่กลุ่ม

ผู้บริโภคก็เท่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาซัพพลายมากกว่าดีมานด์ที่แท้จริง

"ช่วงซัมเมอร์ทั้งคู่ก็ตั้งเป้าสูง สั่งผลิตแบบเต็มที่ แม้ทั้งคู่จะไม่พร้อมเรื่องโรงงานที่โดนน้ำท่วมปีที่แล้ว แต่ทั้งอิชิตันและโออิชิก็มีการจ้างโออีเอ็ม ซึ่งรู้มาว่าขณะนี้ยังไม่มีออร์เดอร์ใหม่เข้ามา สะท้อนถึงสต๊อกสินค้าที่ยังมีอยู่ในตลาดอีกพอสมควร"

สอดคล้องกับปรากฏการณ์ "ขายพ่วง" ของไทยเบฟเวอเรจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่หันมาใช้กลยุทธ์ "ซื้อเหล้าพ่วงชาเขียว" จากสินค้าโออิชิที่ล้นสต๊อก

วันนี้ต้องถือว่าตลาดชาเขียวถูก "ขับเคลื่อน" ด้วยบิ๊กแคมเปญลุ้นโชค

ท่องเที่ยว แจกรถ แจกทองตลอดทั้งปี รวมไปถึง "สงครามราคา" ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ ซึ่งช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมากลายเป็นที่ฮือฮา เมื่อทั้งโออิชิและอิชิตันต่างแข่งกันชิงกระแสความเป็นผู้นำ

ฝั่งเสี่ยตันโพสต์ข้อความแจก "ไอโฟน 5" ขณะที่โออิชิโพสต์แจก "ซัมซุง กาแล็คซี่ S3" ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวดึงดูดแฟนเพจเข้ามากดไลก์และแชร์ได้หลายแสนคน

เป็นการห้ำหั่นกันทุกสนามแบบไม่มีใครยอมใคร

แต่ที่กลายเป็นบทเรียนให้กับทั้งคู่คือ จากนั้นไม่นานทั้งตันและโออิชิก็ต้องลบโพสต์กิจกรรมดังกล่าวออกจากหน้าเพจ ว่ากันว่าอาจเป็นเพราะทั้งคู่เกรงว่าจะผิดกฎของเฟซบุ๊กที่ไม่อนุญาตให้แบรนด์ทำโปรโมชั่นบนแฟนเพจ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นโดนปิดเพจได้

งานนี้จึงกลายเป็น "ดาบสองคม" จากการแข่งกันสร้างกระแส กลับกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก

แน่นอนว่าสงครามของทั้งคู่ยังมีอยู่ต่อไปอย่างไม่รู้จบ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้คือ สงครามชิง "มาร์เก็ตแชร์" ด้วยกลยุทธ์อัดสินค้าเข้าสู่ตลาดให้มากที่สุด

จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่เราจะเห็นโปรโมชั่น อย่างทะลักทลายอยู่ในขณะนี้
#944
ผู้ว่าฯสงขลา รับมอบรถพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน เพื่อบริการ ช่วยเหลือ รับ -ส่ง ผู้ป่วย ผู้พิการ และผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง

วันนี้ (19 ก.ย. 55) ที่บริเวณประตูเมืองจำลอง ริมหาดสมิหลา  อ.เมืองสงขลา นายกฤษฎา บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายพีระ  ตันติเศรณี  นายกเทศมนตรีนครสงขลา   รับมอบรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจมาครบ 50 ปีในวันนี้  เพื่อแสดงความห่วงใยและมอบความปราถนาดีต่อพี่น้องชาวสงขลา บริษัทเชฟรอนฯ ได้มอบรถพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการรักษาพยาบาลเบื้องต้นในระหว่างที่นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล  โดย นายแอนโทนี่ เคนริค ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนงานปฏิบัติการของบริษัทเชฟรอนฯ เป็นผู้ส่งมอบรถพยาบาลฉุกเฉินในวันนี้

            นายกฤษฎา บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลา โดย เทศบาลนครสงขลา เป็นอีกหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนในด้านการรักษาพยาบาลเบื้องต้นและมีรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อใช้ในการช่วยเหลือ รับ ส่ง ผู้ป่วย ผู้พิการ และผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยจำนวนรถพยาบาลฉุกเฉินที่มีเพียง 1 คัน สำหนับภารกิจการให้บริการประชาชนถึง 120 คนต่อเดือน  จึงมีข้อจำกัดในการให้บริการได้อย่างทั่วถึง  จังหวัดสงขลาขอขอบคุณที่บริษัทเชฟรอนฯ ได้ดูแลคุณภาพการบริการทางการแพทย์ของพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลนครสงขลาและพื้นที่ในจังหวัดสงขลา ในการให้การรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที  จากนั้น  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายกเทศมนตรีนครสงขลา   ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนงานปฏิบัติการของบริษัทเชฟรอนฯ  คณะผู้บริหารเทศบาลนครสงขลา และพนักงานเชฟรอนฯ  ร่วมกันปลูกต้นไม้ ริมหาดสมิหลา และบริเวณบนเขาน้อย หลังพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในปลายปี 2553 ที่ผ่านมา
#945
ที่มา สยามดารา 18 กันยายน 2555 2:33 น.   

มีกระแสข่าวออกมาหลายระลอกตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2555 ว่า ''ฝน ธนสุนทร'' จะไม่ต่อสัญญากับ ''ชัวร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์'' ค่ายเพลงลูกทุ่งชั้นนำ ที่รวมหัวจมท้ายรวมงานกันมายาวนานกว่า 18 ปี ล่าสุดนักร้องสาวเจ้าของฉายา ''เจ้าหญิง ลูกทุ่ง'' ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับอดีตค่ายเพลงต้นสังกัดจริง หลังจากสัญญาฉบับสุดท้ายหมดไปเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา

การตัดสินใจไม่ต่อสัญญา หลังจากมีผลงานเพลงอัลบั้ม ''แก้วตาดวงใจ'' ออกมาเป็นชุดสุดท้ายกับค่ายชัวร์ฯ เจ้าหญิงลูกทุ่งบอกว่า ไม่มีปัญหา หรือความบาดหมางใจใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการจากกันด้วยดี และตนก็ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในวงการเพลงบ้าง 

''อยู่ค่ายมา 18 ปี มีอัลบั้มออกมาเยอะ แต่ที่ไม่ต่อสัญญาเพราะว่าฝนอยากลองอะไรใหม่ๆ บ้าง จากกันด้วยดีฝนกับทางค่ายก็ไม่มีปัญหาอะไร หากเปรียบเทียบกันฝนก็เหมือนลูกสาวบ้านนี้นะ ซึ่งวันหนึ่งเติบโตก็ต้องก้าวออกจากบ้านเหมือนผู้หญิงที่แต่งงาน เขาไม่ได้ไม่รักพ่อไม่รักแม่ ไม่รักบ้านนะ แต่ก็ต้องจากไปดูโลกภายนอก ศึกษาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่มา 18 แล้ว เดี๋ยวชีวิตนี้ไม่คุ้มไม่ได้เจอโน่นนี่มากมาย''

สำหรับเป้าหมายเมื่อโบกมือลาชัวร์ฯ มาเป็นนักร้องอิสระ ฝนบอกว่า เป้าหมายในการทำงานยังเหมือนเดิมคือ ตั้งใจผลงานคุณภาพออกมามอบความสุขให้กับมิตรรักแฟนเพลง และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีเหมือนเช่นเดิมด้วย

''ก็อยากมีอิสระในทางความคิด ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ให้เสียชื่อ เรามาทำเอง เดินออกมาแล้วก็ทำให้ดีที่สุด เป้าหมายเหมือนเดิม คือทำงานคุณภาพออกมาให้แฟนเพลงฟัง ให้แฟนเพลงชื่นชอบในผลงาน ก็ยังหวังว่าแฟนเพลงก็จะให้การตอบรับ ให้ความอบอุ่นเหมือนเดิม''

กับการทำงานนับจากนี้ต่อไปที่ไม่มีค่ายเพลงคอยดูแล อาจมีปัญหาเกิดขึ้นมาบ้าง ฝนยืนยันว่าไม่กลัวกับความยากลำบากที่กำลังเชิญ เพราะได้สัมผัสมาแล้วตั้งแต่วัยเด็ก 

''ฝนไม่กลัวความลำบาก เพราะตอนเด็กฝนลำบากกว่านี้เยอะ ข้างหน้ามีความยากลำบากกองอยู่ ฝนก็ไม่คิดว่ามันคือความลำบาก แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้เราแข็งแกร่งในอนาคต ฝนพร้อมสู้กับมันนะ''

การทำงานในฐานะนักร้องอิสระวันนี้ ฝนเริ่มต้นกับการเลือกเพลงเพื่อสร้างสรรค์งานเพลงอัลบั้มใหม่แล้ว คอนเซปต์ยังเป็นเพลงลูกทุ่งเหมือนเดิม แต่อาจมีความแปลกใหม่ทางด้านดนตรี

''งานอัลบั้มใหม่กำลังหาเพลงอยู่ ได้มาส่วนหนึ่งแล้วยังไม่ครบ อาจมีออกเป็นซิงเกิลให้ฟังกันก่อน แนวเพลงก็เป็นลูกทุ่งเหมือนเดิม อาจมีความแปลกแหวกแนวด้านดนตรีเพิ่มไหม อันนี้กำลังรวบรวมความคิดอยู่ ที่คิดไว้อยากทำลูกทุ่งแท้ๆ ซักชุด และลูกทุ่งสมัยใหม่ซักชุด แต่เพลงหายาก แต่ที่แน่ๆ ทำลูกทุ่งแน่นอน แต่แนวจะยังไงแฟนๆ ต้องติดตาม คือภาษาดนตรีบางอย่างฝนก็ไม่รู้อะไรคือแนวไหน อยากให้แฟนๆ ลุ้นกันว่า จะชอบเหมือนที่ฝนชอบไหม''

กับการเป็นนักร้องที่ผ่านมา มีชัวร์ฯ คอยดูแลผลงานให้มาโดยตลอด วันนี้กลายเป็นนักร้องอิสระแล้ว ฝนยอมรับว่าต้องมีการปรับตัวในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านการตลาด ขายผลงานเพลงที่ผลิตออกมา ซึ่งเวลานี้ได้ไปขอคำปรึกษาจากบุคคลในวงการเพลงหลายคนแล้ว

''ช่องทางการจำหน่ายผลงาน ฝนกำลังตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง เพราะเรื่องค่ายก็มีการเสนอเข้ามาเยอะ อยู่ในช่วงศึกษาว่าเราควรตัดสินใจอย่างไรดี ให้มันตรงกับการตัดสินใจว่า เราออกมาเพราะต้องการเจอกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้กลับไปอยู่กับการทำงานในแบบเดิมๆ ตอนนี้ก็ใผู้ใหญ่ให้คำปรึกษาเรื่องการขาย การโปรโมตเหมือนกัน เราก็ไม่ถึงเคว้งค่ะ ก็ถือว่าเราจะได้ทำอะไรในสิ่งที่ต้องการทำจริงๆ จะได้เป็นผลงานของเรา เป็นประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง ฝนตั้งใจทำดีที่สุดแน่นอนค่ะ แต่จะตรงใจแฟนๆ ไหมอันนี้ต้องลุ้นค่ะ''

กับการก้าวออกจากจากค่ายชัวร์ฯ ฝนเชื่อว่าส่วนน่าจะมีความเข้าใจเธอ และมองข้ามเรื่องของบุญคุณต้องทดแทนไป เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 18 ปี เธอได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับค่ายเพลงที่ปลุกปั้นขึ้นมากหลายอย่าง

''18 ปีแล้วนะคะที่ฝนอยู่ ฝนไม่ได้ออกมาตั้งแต่ฝนกำลังดังเลย เรื่องนี้ฝนอยากให้มองข้ามไปฝนไม่ได้ดังปีสองปี แล้วออกมาเลย ฝนอยู่มานานทำอะไรกับชัวร์มาเยอะ ฝนเชื่อว่าคนคงไม่คิดอะไรเรื่องนี้  ฝนไม่ได้ดังจนกระทั่งมีคนมาซื้อตัวแย่งกันมันไม่ใช่นะคะ''

ท้ายที่สุดเจ้าหญิงลูกทุ่งได้ฝากถึงมิตรรักแฟนเพลงว่า แม้วันนี้เธอจะเป็นนักร้องอิสระไม่มีสังกัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังจะตั้งใจทำงานเพลงคุณภาพออกมามอบความสุขให้ทุกคนได้ฟังเหมือนเดิม และหวังว่าทุกคนยังคอยเป็นกำลังแรงใจให้การสนับสนุนผลงานด้วยดี

''ก็ขอบคุณแฟนเพลงที่รัก และห่วงฝน มีหลายคนถามว่าจะไปอยู่ไหน ถ้ายังรักและเป็นห่วงฝนก็สนับสนุนผลงานฝนเท่านั้นเอง ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ ให้ความเป็นห่วงด้วย ว่าเราจะทำอะไรต่อไป หวังว่าจะรักและเป็นห่วงฝนตลอดไป'' ฝนกล่าว

ก้าวใหม่ของ ''ฝน ธนสุนทร'' จะเป็นอย่างไรต่อไป? เชื่อว่าเวลานี้มีคนจับตามองอย่างแน่นอน!!

''ฝน ธนสุนทร'' มีชื่อจริงว่า เตือนใจ ศรีสุนทร เกิดเมื่อ 29 มิถุนายน 2517 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิกมากถึง 10 คน โดยพ่อถีบสามล้อ และแม่หาบของขาย เธอเป็นลูกคนโต และก็ได้ช่วยครอบครัวหารายได้ทุกทางที่พอจะทำได้ ระหว่างปี 2524-2529 เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนมุขมนตรี ช่วงปี 2531-2536 เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีจนจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ จากวิทยาลัยปทุมธานี

ฝนมีปู่เป็นผู้ฝึกฝนการร้องเพลงลูกทุ่ง เนื่องจากเคยเป็นนักร้องเชียร์รำวงเก่า เริ่มหารายได้จากการร้องเพลงตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 เมื่อมีผู้ที่ชื่นชอบหน้าตาที่สะสวยของเธอ เข้ามาจีบ โดยนำเรื่องการว่าจ้างให้เธอไปร้องเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง แต่เสียงของเธอก็เป็นที่ยอมรับของคนที่ได้ฟัง ทำให้เธอมีงานมาเรื่อยๆ

ช่วงเดียวกันนั้นเธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการประกวดมิสทีนโอเล่และได้ตำแหน่งมาครอง หลังจากนั้น จึงได้เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาลูกอม ''โอเล่'' ต่อมาสมัยเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอได้รับเชิญให้ไปบันทึกเทปเพลงที่จัดทำขึ้นเพื่อฉลอง 100 ปีจังหวัดอุดรของทางจังหวัด โดยเธอได้ร้อง 3 เพลง คือกราบเท้าพ่อหลวง, อุดรฯ มีของดี และเพลง 3 ส.โดยได้รับค่าเหนื่อยมา 500 บาท ซึ่งการทำงานในงานเพลงชุดนี้ ทำให้อาจารย์ปรีชา อรัญวารี นักจัดรายการวิทยุในสังกัดของบริษัท ชัวร์ออดิโอ (ชัวร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ในปัจจุบัน) ที่อุดรบ้านเกิด และได้ชักนำเธอเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว

ฝนได้เซ็นสัญญาณเป็นเวลา 4 ปี กับบริษัท เคลฟเวอร์เอนเตอร์เทนเม้นท์ บริษัทในเครือของชัวร์ออดิโอ ที่เน้นทำเพลงแนวสตริง เนื่องจากทางต้นสังกัดเห็นว่าหน้าตาของเธอเหมาะกับแนวเพลงแบบนี้มากกว่า โดยมีผลงานเพลงออกมาในแนวป็อป 2 ชุด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 คือ ''มุมหนึ่งของหัวใจ'' และ ''สายฝนแห่งความรัก'' แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

จากนั้นค่ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวมาให้เธอมาลองร้องเพลงลูกทุ่งตามแนวที่เธอถนัด โดยให้เริ่มร้องเพลงคู่กับมนต์สิทธิ์ คำสร้อย และเกษม คมสันต์ ในชุด ''เกี่ยวก้อย'' ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากขึ้น จนในที่สุดก็มีผลงานเดี่ยวออกมาในปี พ.ศ.2544 ชื่อ ''ฮักอ้ายโจงโปง'' ก่อนจะมาประสบความสำเร็จล้นหลามกับชุด ''ใจอ่อน'' ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเธอก็ผลิตผลงานลูกทุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องจนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่ได้รับความนิยมทำให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของวงการลูกทุ่ง

ก่อนตัดสินใจไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไป หลังจากสัญญาฉบับสุดท้ายสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 ก.ย.55 หยุดการเป็นนักร้องในสังกัดค่ายชัวร์ฯ ไว้ที่ 18 ปี
#946
ทม.คอหงส์ ยกระดับสู่เมืองชั้นนำด้านไอที จัดโครงการพัฒนาอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง Khohong Free Wifi บริการประชาชนในเขตเทศบาล

(18 ก.ย.55) เทศบาลเมืองคอหงส์ จัดการแถลงข่าวโครงการพัฒนาอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง Khohong Free Wifi ขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างเทศบาลเมืองคอหงส์ โดยนายพยงค์ อรัญดร นายกเทศมนตรีเมือคอหงส์ และ บริษัท ทริปเปิ้ลที อินเตอร์เน็ต จำกัด โดยคุณก่อรัฐ วงศ์สว่างศิริ ผู้จัดการเขตหาดใหญ่ บริษัท ทริปเปิ้ลทีอินเทอร์เน็ต จำกัดโดยมีสื่อมวลชน และตัวแทนภาคประชาชน ร่วมเป็นเกียรติรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้

สำหรับคอหงส์ ฟรี ไว-ไฟ ได้ติดตั้งนำร่องไว้ในพื้นที่โดยรอบเทศบาลจำนวน 10 จุด ร่วมกับของ บริษัท ทริปเปิ้ลที อินเตอร์เน็ต จำกัด ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่จำนวน 197 จุด โดยเน้นในโซนชุมชนที่มีประชาชน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และ คนวัยทำงาน อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งไว-ไฟ แต่ละจุด จะสามารถส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปได้ไกลถึง 100 เมตร ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10 เมก และทุกคนที่อยู่ในรัศมีดังกล่าวสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ฟรีเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน โดยเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
     
โดยความร่วมมือดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นเวลา 3 ปี และหลังจากนั้นจะมีการประเมินอัตราการใช้งาน และความพึงพอใจของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากคนส่วนมากยังคงมีความต้องการ ทางเทศบาลเมืองคอหงส์ก็จะจัดสรรงบประมาณ เพื่อติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ ฟรี ไว-ไฟ เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมพื้นที่เขตเทศบาลทั้ง 34.57 ตารางกิโลเมตร และขยายเวลาการให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 20 นาที เป็น 1 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้น
#947
ที่มา กิมหยงดอทคอม

จบลงแล้วสำหรับศึกเลือกตั้ง สจ.หรือ ส.อบจ.สงขลา 36 คนจาก 36 เขต ทีมสงขลาพัฒนาภายใต้การนำของนายกอบจ.คนปัจจุบัน นายกต้อย อุทิศ ชูช่วย ที่ส่งผู้สมัครถึง 33 เขตได้รับเลือกตั้งมา 24 เขต ขณะที่คู่แข่งอย่างทีมพลังสงขลา ที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่า นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.ประชาธิปัตย์ รองเลขาธิการพรรคสนับสนุน เลือกตั้งเที่ยวนี้ทีมพลังสงขลาส่งผู้สมัครลง 15 เขตได้มาเพียง 5 เขตขณะที่อีก 7 เขตเป็นของผู้สมัครอิสระ

โดยผลการเลือกตั้งทั้ง 36 เขตมีดังนี้ เมืองสงขลา 4 เขต ทีมสงขลาพัฒนากวาดเรียบประกอบด้วย เขต 1 นายวิชัย กุหลาบวรรณ, เขต 2 นายศิริชัย เอกพันธ์, เขต 3 นายนราเดช คำทัปน์ และเขต 4 นายอธิชิต ทิพย์มณี 

พื้นที่ไข่แดงอย่างอำเภอหาดใหญ่ 10 เขตเลือกตั้ง ทีมพลังสงขลาที่ส่งผู้สมัครทั้ง 10 เขต ได้มา 3 เขตประกอบด้วย เขต 1 นายนิยม พรรณราย, เขต 2 นายประสิทธิ์ ช่วยชูสกุล และเขต 3 นายจำลอง บุญวรรโณ และทีมสงขลาพัฒนาส่งครบทุกเขตเช่นกันและกวาดไป 6 เขตประกอบด้วย เขต 4 นายเจษฎาพร ชูแก้ว,เขต 5 นายณัฐวุฒิ ไชยชูลี,เขต 6 นายทวีศักดิ์ อรัญดร, เขต 7 ด.ต.สุรินทร์ ปานดำรงค์, เขต 8 นายอรุณ บุญรัศมี และเขต 10 นายสุคนธ์ เรืองกูล ส่วนเขต 9 ได้ผู้สมัครอิสระ นายรอซี หนิมุสา อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองควนลัง

ส่วนพื้นที่ที่ทีมสงขลาพัฒนากวาดยกอำเภอประกอบด้วย  อำเภอสะเดา ทั้ง 3 เขต ได้แก่ เขต 1 นายสายัญ สามทอง, เขต 2 นายสุรศักดิ์ สุวรรณรักษา และเขต 3 นายวัชรพล บริสุทธิ์กุล, อำเภอรัตภูมิ 2 เขต ได้แก่ เขต 1 นายญาณพงศ์ เพชรบูรณ์ เขต 2 นายอดุลย์ สงดวง ที่เหลือเป็นอำเภอละ 1 เขต ได้แก่ อำเภอบางกล่ำ นายบุญเจอ กัลยาศิริ,อำเภอควนนียง นายมิตร แก้วประดิษฐ์, อำเภอกระแสสินธ์ นายเปรม ทองเนื้อแข็ง,อำเภอสทิงพระ นายสุวัฒน์ นิยมเดชา, อำเภอคลองหอยโข่ง นายสาธิต สุวรรณชาตรี ,อำเภอนาทวี นายกุณฑล เสนะพันธุ์ และอำเภอนาหม่อม นายอาคม ประสมพงศ์

ส่วนพื้นที่ที่มีการแบ่งเค้กกันประกอบด้วย สิงหนคร มี 2 เขต เขต 1 นายฉัตรเพชร ครุอำโพธิ์ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 วิสิทธิ์ รุจิเรข ทีมสงขลาพัฒนา อำเภอระโนด 2 มี 2 เขต เขต 1 ว่าที่ร.ต.ไกรธนู แกล้วทนงค์ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 นายกระจายศักดิ์ ศรีสงค์  ผู้สมัครอิสระ อำเภอจะนะ  2 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายวสันต์ ชั่งหมาน ผู้สมัครอิสระ เขต 2 นายสุภาพ ทองเพชร ทีมสงขลาพัฒนา อำเภอเทพา มี 2 เขต เขต 1 นายวรพงศ์ ปราบ ทีมพลังสงขลา  เขต 2 นายศิริชัย หนิมา ผู้สมัครอิสระ อำเภอสะบ้าย้อย มี 2 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายฮาหรน โสะแสะ ผู้สมัครอิสระ เขต 2 ด.ต.อนันต์ ชูเลขา ผู้สมัครอิสระ

เมื่อไปดูผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ทั้งจังหวัดสงขลามีกว่า 944,155 คน มาใช้สิทธิ์เพียง 537,101 คนหรือคิดเป็น 56.89% เท่านั้น เป็นบัตรดี 473,475 บัตร คิดเป็น 88.15% บัตรเสีย 19,774 บัตรคือเป็น 3.68% ขณะที่บัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนนมีกว่า 43,851 บัตรหรือคิดเป็น 8.16% เลยทีเดียว

การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องบอกว่าฝ่ายการจัดการเลือกตั้งล้มเหลวในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถ้ามองผ่านสื่อออนไลนืทั้งเว็บ อบจ.และกกต.สงขลา ไม่มีเว็บไหนมีข้อมูลผู้สมัครเลย ขณะที่คู่มือเลือกตั้งที่จัดส่งทางไปรษณีย์ก็ไร้ซึ่งข้อมูลผู้สมัครในแต่ละเขต มีเพียงการแนะนำการเลือกตั้งไม่มีข้อมูลผู้สมัครเลย

ขณะเดียวกันในการเลือกตั้งคราวนี้เป็นการเลือกเฉพาะ ส.อบจ.ในหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครเพียงคนเดียว บางเขตคู่แข่งไม่ได้คู่คี่สูสีเลยมีการแข่งขันมากมายไม่มีแรงจูงใจให้ชาวบ้านออกมาใช้สิทธิ์

เลือกตั้ง หากดูจำนวน สจ.เที่ยวนี้ 36 คนแบ่งเป็นทีมสงขลาพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตสจ.เก่า 24 คน อิสระ 7 พลังสงขลา 5 รวมกันได้ 12 หากเป็นเช่นนี้ในเบื้องต้น สจ.36 คนเป็นฝ่ายรัฐบาล 24 ฝ่ายค้าน 12 คะแนนแค่นี้ไม่อาจเป็นที่วางใจได้ว่าเก้าอี้นายก อบจ.ของอุทิศ จะไม่สั่นคลอน

ปีกว่าๆ กับเวลาในการทำหน้าที่นายกอบจ.สงขลา เชื่อว่าอุทิศ ต้องงัดผลงานมามัดใจชาวสงขลาให้เหนียวแน่นและส่งน้ำเลี้ยงให้ สจ.ในให้อยู่กับทีมต่อไป เพราะเมื่อถึงวันเลือกตั้งจริงหากไม่มีอะไรผิดพลาดคู่แข่งของอุทิศ ชูช่วย ก็คือ ส.ส.นิพนธ์ ชื่อของนิพนธ์ ขายในสนามท้องถิ่นได้อยู่แล้วและในวงการการเมืองรู้กันดีว่าสำหรับน้องๆ นักการเมืองรุ่นใหม่หลายคน นิพนธ์คนนี้พี่มีให้  เมื่อนิพนธ์ สวมเสื้อประชาธิปัตย์มาลงมีหรือที่ไม่มีใครอยากร่วมทีมด้วย

เที่ยวหน้าสนามนายกอจ.สงขลา ชาวสงขลาคอยติดตามสารพัดกลยุทธ์สารพัดนโยบายที่จะงัดมาสู้กันของ 2 เพื่อนรักอย่าง อุทิศ ชูช่วย VS นิพนธ์ บุญญามณี กันได้เลย   
#949
ผู้ว่าฯสงขลา สั่งปรับแผนรักษาความปลอดภัยพื้นที่ 4 อำเภอ รอยต่อชายแดนภาคใต้ ขันน๊อตกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เดินหน้าทำงานเชิงรุก

[attach=1]

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์คนร้ายยิงประชาชนในพื้นที่บ้านปริก ม.8 ต.ลำไพล อ.เทพา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย บริเวณจุดรับซื้อน้ำยาง พร้อมนำรถกระบะ ทะเบียน บว-8864 สงขลา พร้อมสิ่งของมีค่าอื่น ๆ หลบหนีไปเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา จึงมีคำสั่งการอย่างเร่งด่วนในการให้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ 4 อำเภอรอยต่อซึ่งประกอบด้วย อ.จะนะ, นาทวี, เทพาและสะบ้าย้อย จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทำงานของฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถรอง รับสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้ง นี้เชื่อว่าการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่นั้น ในส่วนของผู้นำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในระดับท้องที่ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องประชาชนในพื้นที่ จากภัยการก่อเหตุรุนแรง ทั้งที่บุคลากรเหล่านี้นับได้ว่ามีบทบาทหน้าที่โดยตรง และรัฐบาลเองก็ได้จัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนมากให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สิ่งที่เน้นย้ำนับจากนี้ไป กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนจะต้องเร่งประสานการทำงาน ร่วมกับ ฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ ในพื้นที่อย่างเต็มที่เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในพ้นที่ของตนเองให้ได้ โดยจังหวัดจะจัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงไปเป็นพี่เลี้ยงในแต่ละท้องถิ่น หากมีปัญหาใด ๆ ในการทำงานให้รีบรายงานหน่วยเหนือทันที และหากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หย่อนยาน หรือบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อจะถือว่าผิดระเบียบวินัย และจะได้รับการลงโทษตามระเบียบต่อไป

ศูนย์ IOC สำนักประชาสัมพันธ์เขต 6 / ข่าว
#950
หน่วยข่าวความมั่นคงส่งสัญญาณเตือนคาร์บอมบ์ปัตตานีหลังคนร้ายฆ่าชิงรถกระบะแม่ค้ายาง 3 ศพ

หน่วยข่าวความมั่นคงที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสายข่าวในพื้นที่แจ้งว่าคนร้ายที่ก่อเหตุยิงผู้หญิง 3 ศพ เป็นแนวร่วมปฏิบัติการณ์ อ.หนองจิก จ.ปัตตานีทั้ง 3 คน มาสมทบกับแนวร่วม อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จำนวน 2 คน ซึ่งขับรถจักรยานยนต์มาชี้เป้าหมาย และ บอกเส้นทางขับรถยนต์หลบหนี ตามถนนสาย อ.สะบ้าย้อย-อ.เทพา จ.สงขลา ? อ.โคกโพธิ์-อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่เรียกว่า พลาตง 3 ที่มีนายปะดอ คลองควาย เป็นหัวหน้าชุด หรือตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย

ทั้งนี้ในส่วนรถยนต์กระบะเซฟโรเล็ตของผู้ตาย ที่คนร้ายชิงไปในวันเกิดเหตุ คนร้ายนำไปซ่อนไว้ในอู่เคาะ-พ่นสีรถแห่งหนึ่งในอำเภอรอบนอก อ.เมืองปัตตานี ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังติดตามความเคลื่อนไหว คนร้ายอาจเปลี่ยนสี สภาพและป้าย เพื่อเตรียมใช้ประกอบคาร์บอมบ์ หรือใช้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่รัฐ ให้เจ้าหน้าที่รัฐระวังรถคนร้ายนำไปใช้ก่อเหตุ


------------------------------------------------------
ศูนย์ IOC สำนักประชาสัมพันธ์เขต 6 / ข่าว
#951
จังหวัดสงขลามอบเงินเยียวยาแก่ทาญาติผู้เสียชีวิต 3 ศพ  ในพื้นที่อำเภอเทพา จ.สงขลา ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างเสียใจและวิงวอนผู้ก่อเหตุรุนแรง หยุดเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีทางสู้

(10 ก.ย. 55) ที่หน่วยเฉพาะกิจสงขลา ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา นายกฤษฎา  บุญราช  ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา  มอบเงินเยียวยาแก่ทาญาติผู้เสียชีวิต 3 ศพ จากเหตุการณ์ ความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอของจงหวัดสงขลา รายละ 5 แสนบาท  สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา มอบเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ 25,000 บาท และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ทาญาติ ครอบครัวละ 6,000 บาท  ให้แก่ทาญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์คนร้ายยิงประชาชนเสียชีวิต ซึ่งเป็นผู้หญิง จำนวน 3 ราย บริเวณ จุดรับซื้อน้ำยาง  ในพื้นที่บ้านปริก ม.8 ต.ลำไพล อ.เทพา เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา 
           
ด้านนายสรพงค์  ไชยลาภ  พี่ชายของนางสาววิภารัตน์ ไชยลาภ  ครูโรงเรียนบ้านตาแปด      ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลาที่เสียชีวิต ได้กล่าวความรู้สึกในการสูญเสียในครั้งนี้ว่า เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวไชยลาภ เนื่องจาก นางสาววิภารัตน์ ไชยลาภ  ได้มีบุตรจำนวน 2 คน คือ       ด.ญ.นวรัตน์  ไชยลาภ อายุ 4 ขวบ และ ด.ญ.ภวรินทร์  ไชยลาภ อายุ 2 เดือน ซึ่ง นางสาววิภารัตน์  ไชยลาภ  อยู่ระหว่างการลาคลอดบุตร และเตรียมความพร้อมก่อนกลับไปสอนหนังสือแก่เด็ก ๆ        ที่โรงเรียนบ้านตาแปด ในเดือนหน้า แต่ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น

และในขณะเดียวกัน ที่มัสยิดกอหลำ ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย โต๊ะอิหม่านประจำมัสยิด  พร้อมด้วย กำนันตำบลเปียน และกลุ่มชาวบ้านต่างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประนามการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถยอมรับได้ และต่างพร้อมใจกันที่จะร่วมปกป้องชุมชน และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ความสูญเสียแบบนี้เกิดขึ้นได้อีก

นางเจะโสง มามะ ประธานกลุ่มแม่บ้านหมู่ที่ 2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย กล่าวว่า รู้สึกความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่มีอาวุธ ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเทพา  และขอประมาณการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง อันเป็นการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม

ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
#952
โดย กิมหยงดอทคอม

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ก.ค. 55 ร.ท.วรชิต วรรณทอง ผบ.มว.ปืนเล็ก ร้อยร.ฉก.สงขลา ร่วมกับ ร.ต.ต.วิมล หมื่นเพชร รอง สวป.สภ.ควนมีด อ.จะนะ จ.สงขลา ร่วมกันตรวจยึดยาแก้ไอ 16 ลัง จำนวน 1,600 ขวด ซึ่งลำเลียงมากับรถบรรทุกสิบล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 70-1486 พัทลุง ซึ่งเป็นของบริษัทรับส่งสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.นราธิวาส และถูกเจ้าหน้าที่ด่านตรวจร่วมบ้านควนมีด อ.จะนะ จ.สงขลา ตรวจค้น และพบยาแก้ไอซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังคารถ 7 ลัง และปะปนอยู่กับสินค้าชนิดอื่นๆด้านหลังรถอีก 9 ลัง

สอบสวน นายคมชิต หมื่นเพ็ชร อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 ม.1 ต.กาหลง อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส  ซึ่งเป็นคนขับรถคันดังกล่าว ทราบว่า ยาแก้ไอทั้งหมดรับมาจากตลาดหัวอิฐ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอ้างตัวว่า เป็นเภสัชกร ว่าจ้างให้นำไปส่งที่ตลาดตันหยงมัส และ ตลาดสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส อย่างละครึ่ง และจะมีคนมารับของไปอีกทอดหนึ่ง โดยได้รับค่าจ้าง 6,000 บาท และปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับการค้ายาแก้ไอแต่อย่างใด เพียงแต่รับจ้างขนส่งสินค้าตามหน้าที่เท่านั้น

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังผู้ส่ง เพื่อให้นำหลักฐานเอกสารมายืนยันว่า เป็นการส่งยาแก้ไออย่างถูกต้องตามกฎหมายตามคำสั่งของเภสัชกรหรือไม่ เบื้องต้นได้แจ้งขอหา นายคมชิต ไว้ก่อนในข้อหาขายยาแผนปัจจุบัน (ยาแก้ไอ) โดยผิดกฎหมาย ก่อนคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง ร.ต.ท.โสภณ บัวหลวง ร้อยเวร สภ.ควนมีด อ.จะนะ ดำเนินคดีต่อไป
/////
#953
ที่มา กิมหยงดอทคอม

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 11 ก.ย. 55 พ.ต.ต.อุดม บุญพุด สารวัตรเวรสอบสวน สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันตายบริเวณสี่แยกโรงปูน ถ.นิพัทธิ์สงเคราะห์ 1 ตัดกับ ถ.รัถการ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา หลังรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.ท.เอกณรงค์  สวัสดิการนนท์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.ธรรมรัตน์  เพชรหนองชุม รอง ผกก.ป. และ พ.ต.ท.ภูวดล อาบทิพย์ สว.สส.

พบศพ นายปพนวิช ศักดิ์เมือง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 219/172 ม.4 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นอนเสียชีวิตคร่อมรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ซี 70 ทะเบียน ง-5018 สงขลา ซึ่งเป็นรถคลาสสิกโบราณที่วัยรุ่นนิยมนำมาตกแต่งขึ้นใหม่ โดยจากการชันสูตรศพพบว่า ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 11 มม. เข้าที่บริเวณศีรษะจำนวน 2 นัด ในลักษณะจ่อยิง ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม. ตกอยู่ 2 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนั้นในตัวผู้ตายยังมีทรัพย์สินเป็นเงินสดประมาณ 2 พันบาท และเอกสารส่วนตัว รวมทั้งเครื่องคิดเลข และ ถุงยางอนามัย

จากการสอบสวนทราบว่า นายปพนวิช เป็นพนักงานขับรถยนต์ของ บริษัท ดังว่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขายส่งน้ำดื่ม ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ โดยขณะเกิดเหตุผู้ตายได้ขับรถกลับมากินข้าวกับภรรยาที่บ้านพักเลขที่ 44 ซ.10 ถ.นิพัทธ์สงเคราะห์ ใกล้กับจุดเกิดเหตุ และขากลับขณะที่ขับรถจักรยานยนต์มาจอดติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกดังกล่าว ได้มีคนร้าย 1 คน ขับรถจักรยานยนต์ไม่ทราบชนิด ตามประกบ และใช้อาวุธปืน 11 มม. จ่อยิงเข้าที่ศีรษะ 2 นัด ซ้อน จนขาดใจตายคาที่

ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน เบื้องต้นได้ตั้งประเด็นการสอบสวนมาจากเรื่องส่วนตัว ปัญหาชู้สาว และ หักหลังธุรกิจมืด อย่างไรก็ตามสำหรับเบาะแสของคนร้ายนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณสี่แยกไฟแดง ซึ่งติดตั้งไว้ทั้ง 4 มุม เพื่อหาเบาะแส รวมทั้งรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย และจะติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด
/////
#954
สนง.วัฒนธรรมจังหวัดสงขลา มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องบุคคล ประจำปี 2555  เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคคลผู้กระทำความดี

(11 ก.ย.55) ที่โรงแรมพาวีเลี่ยน อ.เมืองสงขลา นายบุญชวน บัวสว่าง  วัฒนธรรมจังหวัดสงขลา  เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณประจำปี 2555  ตามโครงการส่งเสริมคนดีมีคุณธรรมตามหลักคุณธรรม 4 ประการ  เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคคลผู้กระทำความดี ควรค่าแก่การยกย่อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน
           
นายบุญชวน  บัวสว่าง  วัฒนธรรมจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลา โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา ได้จัดโครงการส่งเสริมคนดีมีคุณธรรมตามหลักคุณธรรม 4 ประการ การส่งเสริมอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น กิจกรรมการประกวดมารยาทไทย การใช้ภาษาไทย ภาษาถิ่น กิจกรรมการตอบปัญหาศาสนาแก่เยาวชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคคลผู้กระทำความดี ควรค่าแก่การยกย่อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน

สำหรับวันนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา ได้มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องบุคคล ประจำปี 2555ให้แก่บุคคลผู้ได้รับการคัดเลือกที่เป็นคนดีมีคุณธรรม จำนวน 125 คน ครูภูมิปัญญาต้นแบบ  จำนวน 30 คน  ผู้ได้รับการคัดเลือกเมืองไทยเมืองคนดี  จำนวน 3 คน ทีมที่ชนะการประกวดมารยาทไทย/ยอวาทีภาษาถิ่นใต้ จำนวน  25 ทีม และการประกวดตอบปัญหาศาสนาเยาวชน จำนวน 20 ทีม..


จันจิรา  บัวน้อย//ข่าว
ชิดนัย  แก้วมณีโชติ//ภาพ
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
#955
โดย www.Gimyong.com

วันนี้ (8 ก.ย. 55) หลังจากที่ชาวบ้านได้พบลิงแสมหรือลิงหางยาว ซึ่งที่บริเวณศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ ใบหน้าหายไปทั้งแถบ เป็นที่น่าเวทนาของชาวบ้านที่พบเห็น แต่ไม่สามารถจับตัวมารักษาได้ โดยลิงตัวนี้วนเวียนออกหากินอยู่ในละแวกบ้านของชาวบ้านภายใน ซ.27 ถ.ไทรบุรี เขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง อ.เมืองสงขลา มานานนับสัปดาห์แล้ว ก่อนที่จะแจ้งไปยังสวนสัตว์สงขลา เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาจับลิงแสมตัวดังกล่าวไปทำการรักษา

ล่าสุด นายเฉลิมวุฒิ เกษตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา เปิดเผยว่า ทางสวนสัตว์สงขลาได้รับลิงแสมตัวนี้มาทำการรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์สวนสัตว์สงขลาแล้ว หลังจากที่ได้นำกรงไปให้ชาวบ้านช่วยดักจับ กระทั่งสามารถจับตัวมันมาได้ โดยพบว่า เป็นลิงแสมเพศผู้ อายุ 4 ปี จากการตรวจของสัตว์แพทย์พบว่า ที่บริเวณศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งคาดว่า อาจจะถูกยิงหรือถูกฟัน จนใบหน้าหายไปทั้งแถบ รวมทั้งใบหู โดยขณะนี้ นายสัตวแพทย์ภูวดล สุวรรณะ ฝ่ายอนุรักษ์วิจัยและสุขภาพสัตว์ และทีมสัตวแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์สวนสัตว์สงขลา กำลังช่วยกันทำการรักษาและดูและอาการอย่างใกล้ชิด

ด้าน สัตวแพทย์หญิงกานดา  พลศรีลา นายสัตวแพทย์ 4 สวนสัตว์สงขลา เปิดเผยว่า แพทย์ได้ทำการฉีดยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งให้ยาแก้ปวด วิตามิน ยาปฏิชีวนะ และพ่นยาที่แผล จนอาการของลิงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถกินอาหารได้มากขึ้น แต่แพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ เนื่องจากมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้า ซึ่งคาดว่า ต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่า 1 เดือน โดยมีโอกาสรอดประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับว่า ลิงตัวนี้จะอดทนได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

สำหรับลิงแสมตัวนี้เจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะเป็นลิงแสมจากเขาน้อยหรือเขาตังกวน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายหาดแหลมสมิหลา อ.เมืองสงขลา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลิงแสมฝูงใหญ่ แต่จากสภาพแวดล้อมบนเขาน้อยและเขาตังกวนที่แหล่งอาหารตามธรรมชาติเหลือน้อยลง ทำให้ลิงบางส่วน รวมทั้งลิงแสมที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องเร่ร่อนออกมาหากินตามป่าชุมชน และบ้านเรือนของชาวบ้าน ซึ่งอาจจะสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้าน จึงใช้ปืนไล่ยิง หรือใช้มีดฟัน ทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ดังกล่าว
/////
#956
จังหวัดสงขลา จัดกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนรุ่นใหม่ รวมใจสู่อาเซียน เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2555

ลานถนนคนเดิน ตำบลบ่อยาง  อำเภอเมืองสงขลา เวลา 17.00 น. วันนี้ (7 ก.ย.55) นายสุรพล พนัสอำพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานเปิด โครงการเยาวชนรุ่นใหม่ รวมใจสู่อาเซียน เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2555 จัดขึ้นโดยสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชนให้เข้มแข็ง และเยาวชนปรับตัวให้พร้อมรับกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยมีกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย แกนนำสภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล เครือข่ายเยาวชนในจังหวัดสงขลา และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง รวมจำนวน  300 คน 

นายสุรพล พนัสอำพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่าเพื่อให้นโยบายส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสัมฤทธิ์ผลและสอดคล้องตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พุทธศักราช 2550  ซึ่งกำหนดให้จัดกิจกรรมวันเยาวชนแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี รวมทั้งให้หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน รวมถึงเป็นการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมตามศักยภาพของตนเอง 

และเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558  ในส่วนของบทบาทเด็กและเยาวชนในการเตรียมความพร้อมต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ ความรู้ความสามรถ ภาวะความเป็นผู้นำ การมีจิตอาสา การปรับเปลี่ยนทัศนคติ แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม เป็นต้น ทั้งนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนา เพื่อยกระดับความความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กและเยาวชนพร้อมรับกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนที่จะถึงในอีก 3 ปี
             
สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นในโครงการฯ ครั้งนี้ ประกอบด้วย กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ณ บริเวณชายหาดสมิหลา และบริเวณกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,มอบเข็ม/เกียรติบัตรเยาวชนต้นแบบคนดีศรีแผ่นดิน ประจำปี 2555 จำนวน5 ราย ,มอบเข็ม/เกียรติบัตรหน่วยงานผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนดีเด่น ประจำปี 2555 ,มอบเกียรติบัตรเยาวชนดีเด่นจังหวัดสงขลา ประจำปี 2555 จำนวน 2 ราย นิทรรศการผลงานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา การแสดงของสภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล อีกทั้งมีการเกมส์ตอบปัญหาเชิงวิชาการ (เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน)?


สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา